Sunday, February 26, 2012

6. นางฟ้ากลับมาจุติ


      เด็กคนที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเรา เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาเรียบร้อยมากๆ อายุราว15  ดาวแนะนำให้ผมรู้จักเธอๆ ชื่อว่า น้ำ

      แล้วทำไมเด็กพวกนี้ถึงเรียกเธอว่า นางฟ้าล่ะ!

      คำตอบกำลังจะปรากฏให้คุณ และผมได้รู้...

      หลังจากแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ และบอกเล่าถึงจุดประสงค์การมาของผมแล้ว น้ำยินดีให้ความร่วมมือ เพราะเธอคิดว่า ถ้าทุกคนฟังเรื่องนี้ แล้วหันมาร่วมใจกันปฏิบัติธรรม มากขึ้นเท่าไร...โลกของเราที่วุ่นวาย ก็จะมีแต่สันติสุข

      ดาว และพุท ที่ได้ยินเหตุผลของน้ำ ถึงกับปรบมือ น้ำดูเขินๆ เล็กน้อย จึงหันไปหยิก รุ่นน้องทั้งสองคน

      “ยอมแล้วครับพี่..นี่พี่จะทำบุญ หรือทำบาปกันแน่..ดูซิเขียวไปหมดแล้ว” พุทเสียงสั่น  “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ทะลึ่งกับพี่ล่ะ”

      น้ำหันมาขอโทษที่ทำให้เสียเวลา แต่ผมกลับรู้ว่า เด็กๆ พวกนี้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ประสบการณ์ทางธรรมของพวกเขาแล้วล่ะก็  เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่ม เด็กสาวธรรมดา ที่ยังมีความซุกซนตามวัย

      ความจริงน้ำไม่ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้แล้ว..เพราะต้องย้ายตามพ่อไปอยู่ที่เชียงใหม่ ช่วงนี้กลับมาเยี่ยมคุณย่าที่กรุงเทพฯ พอดีเลยถือโอกาสมากราบครูเพ็ญ

      เรื่องการปฏิบัติธรรม น้ำเริ่มเริ่มต้นแต่อยู่ม.1 มีครูอยู่ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ครูวิทย์ ท่านได้เรียกน้ำไปพบ และแนะนำว่า น้ำ เป็นคนกล้าคิด กล้าพูด แต่ไม่กล้าแสดงออก เพื่อให้น้ำพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น จึงแนะให้น้ำมาฝึกเรียนโยคะที่ห้อง 138

      พุทชูมือขัดจังหวะ “พี่น้ำ เล่าตอนที่เพิ่งเกิดมาก่อนซิครับ..น่าสนุกดีออก”
      น้ำพยักหน้ารับ แล้วเริ่มเล่าเรื่องอัศจรรย์ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้รู้สึกว่า เป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอแต่อย่างใด

      “ตอนที่น้ำแรกเกิดเป็นทารก... ภาพแรกที่ได้เห็น...คือ ภาพก้อนเมฆขนาดใหญ่มหึมา ลักษณะขาวเหมือนสำลี มีแสงสว่างเป็นประกาย ระหว่างตรงกลางของก้อนเมฆจะมีช่องโหว่เป็น โพรงมีลำแสงส่องผ่านรอดลงมา

       สักพักพวกเพื่อนๆ ของน้ำ-เป็นเด็กทารก ก็จะค่อยๆ คลานตามกันลงมา ตามลำแสง... บริเวณใกล้ๆ จะมีแท่นบัลลังก์... บนบัลลังก์ ปรากฏภาพผู้ใหญ่แต่งองค์ทรงเครื่อง เหมือนในหนังจักรๆ วงศ์ๆ นั่งห้อยขาคอยจดบัญชีรายชื่อของบุคคลที่กำลังคลาน ลงมาทีละคนๆ จนหมดรายการ...ภาพทั้งหมดติดตาน้ำมาก่อนที่จะเห็นหน้าพ่อแม่ในโลก มนุษย์เสียอีก”

      แต่เรื่องราวปาฎิหาริย์ในชีวิตของน้ำ ยังไม่หมด! มีเรื่องที่แปลกกว่านั้น

      น้ำ ย้อนเวลาไปสมัยป.1 เธอเป็นคนชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ...แต่กลับว่ายน้ำไม่เป็น พยายามฝึกเรียนเท่าไรก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที

      วันหนึ่ง ในชั่วโมงเรียนว่ายน้ำ ขณะที่ครูเป่านกหวีดหมดเวลาเรียน น้ำซึ่งตอนนั้นเป็น เด็กตัวเล็กมากๆ ก็ตะกายตัวขึ้นจากสระน้ำ เพื่อไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ

      แต่ขณะที่กำลังวิ่ง กลับสะดุดขาเพื่อนคนหนึ่งเข้า ทำให้ตัวเธอหัวทิ่มคะมำกลับลงไปในสระน้ำอีกครั้ง...

      ...ตูม!!! …

      แทนที่เธอจะรู้สึกว่าตัวเอง กำลังจมน้ำ! และพยายามตะเกียกตะกายไม่ให้ตัวเองจมน้ำ แต่กลับพบว่า ตนเองกำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิที่ใต้ก้นสระ และอยู่ในท่านั้นราว 5 นาที

      ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนมีคนมาฉุดตัวน้ำเอาไว้ไม่ให้ลอยตัวขึ้น...แต่ที่แปลกกว่า ก็คือ เธอหายใจในน้ำได้อย่างสบาย! เป็นปกติทุกอย่าง ทั้งที่เป็นคนว่ายน้ำไม่เป็นด้วย!!!

      น้ำพยายามหันไปมองรอบๆ ตัว เพื่อดูว่า จะมีใครมาช่วยเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่ใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยเธอเลย

      ในที่สุด น้ำตัดสินใจรวมพลังทั้งหมด ถีบตัวขึ้นไปบนผิวน้ำ...

      สำเร็จ!

      เมื่อทุกคนเห็นน้ำโผล่ขึ้นมาจากก้นสระ ก็ต่างพากันตกใจ และประหลาดมาก คือ ไม่มีใครสักคนเห็นว่า น้ำตกลงไปในสระน้ำเลย แม้แต่เพื่อนที่น้ำไปสะดุดขาเข้า

      ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา น้ำก็ไม่กล้าอยู่ใกล้สระน้ำอีกเลย...

      ฟังมาถึงตรงนี้ ผมเริ่มเชื่อมากขึ้นแล้วละครับว่า เด็กกลุ่มนี้มีอะไรที่น่าค้นหาจริงๆ!!  “จากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้น จนกระทั่งได้มารู้จักห้อง 138 อย่างที่บอกว่า ครูเพ็ญ เป็นครูสอนโยคะ ในขณะเดียวกันก็สอนธรรมะไปด้วย น้ำเข้าไปพบครูเพ็ญ แล้วบอกว่าอยากเรียนสมาธิเหมือนคนอื่น แต่ครูก็บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา”
     
      จนในที่สุด เรื่องปาฎิหาริย์ ที่อธิบายไม่ได้ ก็เกิดขึ้นอีก เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่น้ำจะได้รู้จักตัวตน ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

      วันนั้น...เป็นช่วงม.1 เทอมปลาย น้ำกำลังอาบน้ำอยู่ จู่ๆ ก็มีผ้าเหลืองสะบัดผ่านหน้ามา พรึ่บ!
      จากนั้นก็เริ่มมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้โชยมา ทั้งๆ ที่ความจริงที่บ้านของน้ำ ไม่มีดอกไม้ปลูก หรือตกแต่งอยู่เลย จะมีก็แค่ต้นมะยมเพียงต้นเดียว

      แล้วกลิ่นหอมลอยมาจากไหน? แล้วผ้าเหลืองที่สะบัดพรึ่บ ผ่านมาหน้า คืออะไร?
      น้ำเริ่มรู้สึกกลัวมาก..แต่ก็ต้องฝืนใจเดินมาแต่งตัว

      แต่...เรื่องไม่จบลงเพียงเท่านี้ กลับหนักกว่าเก่าเสียอีก!
      น้ำเห็นคนสวมสุดสีขาวๆ หน้าตาคล้ายตัวเอง...แต่งองค์ทรงเครื่อง และเหนือศรีษะสวมใส่ชฏาสูง
      และพบจุดสีแดง ปรากฏอยู่กลางหน้าผากของตนเอง!
      น้ำตัวสั่นเทา รีบแต่งตัวและออกจากบ้าน เพื่อไปพบครูเพ็ญที่โรงเรียนทันที

      เมื่อครูเพ็ญ ทราบเรื่อง ก็ถามว่า จำใบหน้าของบุคคลผู้นั้นได้ไหม น้ำตอบว่า คลับคล้ายตัวเองมากๆ
      หลังจากครูเพ็ญใช้ญาณตรวจสอบ จึงบอกกับน้ำว่า...บุคคลเห็นนั้น คือ นางฟ้า ที่เป็นกายละเอียดของน้ำนั่นเอง...

      ครูเพ็ญ แนะว่า ต่อแต่นี้ไปน้ำต้องหัดนั่งสมาธิ
      วันนั้นน้ำเริ่มจากกำหนดระลึกถึง ท้องฟ้า แผ่นน้ำ ลมในกาย ลมนอกกาย กำหนดตัวเราให้ไปอยู่กลางแผ่นน้ำ ปล่อยตัวให้ว่างเปล่า กำหนดลมในกาย ดูสิ่งที่อยู่ในตัวเรา มีอะไรบ้าง ตับ ไต ไส้พุง...วันนี้กินข้าวเข้าไป อาหารเก่า อาหารใหม่ยังอยู่ไหม... อุจจาระ ปัสสาวะ..ยังมีอยู่ไหมในร่างกาย... ลมนอกกายเป็นยังไง.. รู้สึกยังไง

      จากนั้นให้เปลี่ยนการพิจารณา..โดยไปดูที่กระดูกที่ค่อยผุพังไปทีละน้อยๆ จนกลายเป็น ผุยผง จากนั้นกายของเราก็เริ่มค่อยๆ กลายเป็นสีแดง..แล้วทำตัวให้เบาเหมือนไม่มีอะไรในร่างกาย... โดยใช้สมาธิมาเป็นตัวกำหนดความคิด ทุกอย่าง เราจะทำอะไรให้ได้ดีต้องนั่งสมาธิ อาศัยทำอยู่สม่ำเสมอ ระลึกเสมอว่า ร่างกายของเรา ไม่มีอะไรอยู่ในกาย แรกๆ ก็ยังรู้สึกหนักเป็นปกติ แต่พอทำบ่อยๆ ขึ้น ก็จะค่อยๆ เบาในที่สุด

      สรุปง่ายๆ ว่า เหมือนเราสั่งสัญชาตญาณให้ได้รับรู้ถึงความต้องการของจิด เช่น เรามีอาการป่วย จิตก็ทำการสั่งให้ร่างกายกลับแข็งแรง ด้วยความมั่นใจที่แน่วแน่ ร่างกาย ของเราก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม

No comments:

Post a Comment