Sunday, February 26, 2012

3. ทัวร์นรก..กับ..ดาว



      “พี่เชื่อว่านรก – สวรรค์  มีจริงหรือเปล่า!”

      แม้จะเป็นคำถามที่ดาวตั้งขึ้นถามผม แต่รู้สึกว่า มันเป็นคำถามที่อยู่ในใจของเราชาวพุทธทุกคนเหมือนกัน เรื่องนรก สวรรค์ จัดเป็นเรื่องที่ไม่สามารพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่จะบอกว่า ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครสามารถหาเครื่องมือมาพิสูจน์แบบฟันธงได้ว่า ไม่มีเด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ถ้าต้องการพิสูจน์ก็ต้องใช้จิตวิญญาณเป็นตัวรับรู้ ซึ่งนั่นก็หมายถึง เราต้องตายก่อนถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีจริงหรือไม่?

      ในทางพุทธศาสนาเท่าที่รู้มา คือ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ไม่ว่านรกสวรรค์จะมีจริงหรือไม่ใช่เรื่องที่ต้องบังคับให้เชื่อ แต่พระพุทธองค์ทรงให้มองว่า หากเราทำดีแล้ว ถ้านรกมีจริง สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ต้องตกนรก และได้ขึ้นสวรรค์เพื่อเสวยกรรมดีที่เราได้ทำลงไป ตรงกันข้าม ถ้าทำชั่ว หากนรกมีจริง ก็จะต้องลงไปชดใช้เวรกรรม ฟังพระดำรัสเพียงแค่นี้ ก็สามารถเลือกได้แล้วควรจะทำดี หรือ ทำชั่ว

         แต่ตอนนี้ ไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็กข้างหน้าผมนี้จะพาไปทัวร์นรกของจริง!!
      ดาวบอกว่า เธอได้มีโอกาสไปเที่ยวนรก หลังจากที่ได้ปฏิบัติธรรมที่ห้อง 138 ได้เพียงแค่ 2 สัปดาห์ เธอเล่าราวกับการไปเที่ยวนรกนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน และเธอไม่ได้ไปโดยลำพังคนเดียว

      “พระพาหนูไปค่ะ”

      ผมอดถามไม่ได้ “พระที่ไหน...มีคนนิมนต์พระมาที่ห้อง 138 เหรอ?”

      ดาวส่ายหน้า “หนูระลึกถึงพระคุณบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้โปรดทรงเมตตาสงเคราะห์ให้หนูได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่พึงปรารถนา โดยไม่เกินวิสัยที่หนูจะสามารถไปได้คะ”
      ดาวนิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังรวบรวมความทรงจำ ก่อนเปิดปากเล่า

      “นรกที่หนูไปมามีชื่อเรียกว่า โลหะกุมภี เป็นนรกขุมที่ 1 ผู้ที่ตกนรกขุมนี้เกิดจากโทษที่ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต...ภายในนรกขุมนี้จะมีหม้อใบใหญ่ขนาดมหึมา หรือเล็กก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของคนที่ถูกโทษทัณฑ์…พูดง่ายๆ ก็คือขยายขนาดตามจำนวนคน ในหม้อทองแดงนี้ก็จะมีน้ำทองแดง

      น้ำทองแดง คือ น้ำที่เอาโลหะมาเคี่ยวให้ร้อนจัดจนหลอมละลาย ผู้ที่มีหน้าที่ในการลงโทษ คือ นายนิริยบาล...เป็นผู้ที่คอยเอาหอกเสียบสัตว์นรก แล้วโยนลงไปในหม้อทองแดง สัตว์นรกบางตัวก็ถูกเอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปบ้าง เมื่อสัตว์นรกลงไปในหม้อทองแดง ซึ่งเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา... สัตว์นรกก็จะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาปากหม้อ แต่ก็ต้องไหลลื่นจมลงไปที่ก้นหม้อ  แล้วก็จมลงไปก้นหม้อ และก็ไหลขึ้นมาที่ปากหม้ออีก วนเวียนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรม

      การวินิจฉัยกรรม : เป็นตอนที่สำคัญ

      แต่ก่อนเราอาจจะแยกแยะว่า การกระทำใดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ได้ลำบาก

      อ่านต่อไปครับ แล้วเราก็จะสามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดาย

      ผมฟังไปนึกภาพตามไป... ก็อดขนลุกตามไม่ได้...

      “เออ..ดาว อย่างพี่เคยตบยุงเนี่ย จะบาปไหมครับ”

      ดาวอธิบายถึงเกณฑ์ในการวินิจฉัยกรรมให้ฟังว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เจตนาเป็นสำคัญ ถ้าเราฆ่าผู้อื่นด้วยความตั้งใจ การกระทำนั้นก็จัดเป็นกรรมไม่ดี ดังนั้น ถ้าผมตั้งใจตบยุงให้ตายคามือ ในตอนนั้นจิตผมก็จะมีเจตนาไม่ดี มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นองค์ประกอบ ย่อมถือว่า เป็นบาปแน่นอน

      กลับกันหากบังเอิญ ผมเดินไปเหยียบมดตาย เพราะมองไม่เห็น ไม่ได้มีเจตนาฆ่ามดตัวนั้น ก็ไม่จัดว่า เป็นกรรมแต่อย่างใด ดาวยังแนะนำว่า ถ้าเรารู้ตัวว่า ทำผิดกันอยู่ ก็ให้เร่งทำความดี มีความเมตตาต่อผู้อื่น โดยพิจารณาง่ายๆ คือ ให้คิดถึงใจเขา ใจเรา หากเราไม่ชอบสิ่งไหน ก็อย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เพียงเท่านี้ เราก็จะรอดจากนรกขุมนี้ ฟังแบบนี้แล้วผมก็เป่าปากโล่ง ชีวิตยังพอมีหวังแก้ตัวใหม่ได้

      นรกขุมต่อไปที่ดาวเล่าให้ฟังคือ นรกขุมที่ 2 ที่มีชื่อเรียกว่า สิมพลีนรก

      “เรียกกันง่ายๆ ก็คือ นรกต้นงิ้ว  ลักษณะของต้นงิ้วไม่มีใบ มีแต่กิ่งกับหนามแหลมคม หนามงิ้ว ในเมืองนรกนี่ยาว  ๑๖ องคุลี  ๑๖ องคุลี   นี่ไม่ใช่องคุลีมนุษย์ แต่เป็นองคุลีนรก ยาวมาก ใหญ่มาก แล้วมีสภาพเป็นสปริง...มันจะเกาะอยู่กับต้นธรรมดา มีความคมเป็นกรด แต่ว่าเวลาที่คนมีบาปขึ้นไป มันจะพุ่งตัวหนามออกมาแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่อยู่นิ่งๆ เด้งได้เหมือนสปริงที่ทำเก้าอี้

      พอเวลานั่งก็ยุบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา รวมความว่า มีสภาพเป็นหนามที่มีชีวิตก็แล้วกัน  แต่ความจริงไม่มีชีวิต  แต่มันรู้ว่า คนที่มีความชั่วขึ้นไป แล้วไปกระทบตัวมันๆ จะพุ่งแทงทันที เลือดก็จะแดงฉานลงมา นรกขุมนี้มีไว้สำหรับลงโทษพวกเจ้าชู้มักมากในกาม ชอบเล่นชู้กับผัว เมีย ชาวบ้าน ไม่ใช่แค่นั้นนะพี่ ...ถ้าไปยุ่งกับลูกของคนอื่นโดยที่พ่อแม่เขาไม่อนุญาต ก็ต้องตกลงมาในนรกขุมนี้เหมือนกัน”
      “น้องดาวพอจะเล่าสภาพรอบๆ ได้ไหมครับ” ผมพยายามเก็บรายละเอียด  ดาว เพ่งสายตาเหมือนเห็นภาพบางอย่าง...
      “ที่โคนต้นของต้นงิ้ว จะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่แหลมคมกริบ ใกล้ๆ บริเวณนั้นจะมีสุนัขไว้คอยไล่กัดสัตว์นรก ส่วนบนยอดของต้นงิ้ว ก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ๆ ปากเป็นเหล็กแหลมคอยจิกสัตว์นรก แม้ต้นงิ้วจะมีจำนวนมากมายมหาศาล ไกลสุดลูกหูลูกตา เกินคณานับ แต่ละต้นจะมีทั้งหญิงและชาย คอยไต่ไปมาบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบยันขึ้นไปบนต้นงิ้ว ถ้าใครไม่ยอมไต่ขึ้นไปก็แทงซ้ำอีก กลัวหอกก็ไต่ขึ้นไป หนามก็บาดเลือดโทรม แล้วบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลัง พุ่งข้าง พุ่งหัว พุ่งตามตัว เลือดพุ่งกระจายแดงฉานไปหมด ส่งเสียงร้องครวญคราง

      มองสูงขึ้นไปหน่อย พวกที่ขึ้นไปถึงยอด...ก็จะถูกแร้ง และกาจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง  อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล่าง พอใกล้ลงมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ ในแต่ละต้นจะมีคนเยอะมาก บางครั้งนายนิริยบาลก็ยันทุกคนไม่ทัน บางคนลงมาข้างล่าง เจ้าหมาใหญ่ก็ไล่กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะเนื้อถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้ว สักพักก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไปใหม่ เอาไปวางไว้บนต้นงิ้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดกรรม”

      โอย..ช่างน่าสยดสยองอะไรขนาดนี้...นี่ขนาดแค่ได้ฟัง...ยังน่ากลัวขนาดนี้.มันช่างเป็นอะไรที่ทรมานอย่างสุดจะบรรยายถึงความเจ็ดปวดของผู้ที่อยู่ในนรก

      “แล้วน้องได้คุยอะไรกับใครในนรก หรือเปล่า”

      ดาวส่ายหน้า “แต่ขณะที่หนูหันหลังเพื่อเดินทางกลับ ได้มีเสียงก้องตะโกนตามหลังมาว่า “เมื่อเจ้าได้เห็นความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกแล้ว ก็จงเกรงกลัวต่อการทำชั่ว และที่สำคัญเมื่อมีโอกาสเมื่อใด จงหาวิธีบอก และเตือนบุคคลที่ใกล้ชิดให้ละความชั่ว และเร่งกันสร้างความดี”

      เล่ามาถึงตรงนี้ ดาวขอพักเรื่องนรกเอาไว้เพียงแค่นรกขุมที่ 1 ก่อน เพราะเพื่อนเธออีกคนหนึ่ง กำลังจะมาที่นี่

      เขาระลึกชาติได้!


No comments:

Post a Comment