Sunday, February 26, 2012

17. ผู้ไขปริศนา ห้อง 138


      ขณะเดินรั้งท้ายพวกเด็กๆ ทุกขณะย่างเท้าสู่ห้อง 138 ผมเกิดความรู้สึกแปลก ประหลาด ราวกับว่า มีอะไรบางสิ่งบางอย่าง จ้องมองมาที่ผมตลอดเวลา!! เสียงจอแจของเด็กนักเรียน ไม่ได้ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเลย

      เมื่อเท้าผมมาหยุดยืนที่หน้าห้องเรียนธรรมดาๆ ที่มีป้ายเลข 138 แขวนอยู่ หัวใจผมก็เต้นแรงขึ้น เพราะสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า คือ ห้องเรียนที่เปรียบเสมือนโรงบ่มเพาะชำเหล่าต้นกล้า ให้กลายเป็นพันธุ์ไม้ทางธรรมที่มีคุณภาพ

       เพราะการดำรงชีวิตของทุกคนที่ผ่านการฝึกฝนจากห้อง 138 จะมีคำๆ หนึ่ง ที่ถูกปลูกฝังไว้ในใจเสมอว่า

      “จงอย่าประมาท”

      หากยังไม่บรรลุถึงพร้อมในการละกิเลส

      ทุกคนต้องหมั่นฝึกตนอยู่ทุกขณะจิต

      ขณะที่ผมเดินผ่านเข้ามาในห้อง 138 ก็พลันรู้สึกถึงความเย็นที่แสนจะชื่นใจ อย่างน่าประหลาด!

      เด็กๆ ทุกคนน้อมตัวก้มกราบหญิงวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้า แต่เป็นที่น่าแปลก คือ จากคำบอกเล่าของเด็กบอกว่า ครูเพ็ญมีอายุเกือบจะ 60 แล้ว แต่พอคะเนด้วยสายตา ครูเพ็ญน่าจะมีอายุแค่ 40 ต้นๆ เท่านั้นเอง ผมนึกถึงคำโบร่ำโบราณ “เรารักษาธรรม ธรรมรักษาเรา” ขึ้นมาในทันที

      น้ำเริ่มเกริ่นนำ “ครูคะ พี่คนนี้เขาชื่อ ชร อยากจะมาเรียนรู้การปฏิบัติธรรมของห้อง 138 หนูเลยคิดว่า ถ้าครูให้ความเมตตาเล่าเรื่องการปฏิบัติธรรมของครูให้พี่เขาได้ทราบ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากๆ เลยค่ะ”

      ผมโน้มตัวไหว้ครูเพ็ญ

      ครูเพ็ญรับไหว้พร้อมกล่าว “ยินดีมากๆ ค่ะ ถ้าเรื่องราวของผู้ปฏิบัติธรรมในห้อง 138 จะเป็นประโยชน์ในทางธรรมให้กับบุคคลผู้ที่สนใจใฝ่ในธรรมทุกๆ คน สำหรับเรื่องของครูก็ไม่มีอะไรตื้นเต้นมากหรอกเป็นแค่ครูแก่ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง เอาละไหนๆ คุณก็ดั้นด้นมาถึงนี่แล้ว ครูก็จะไม่ให้มาเสียเที่ยว เดี๋ยวจะเล่าเรื่องราวของครูแก่ๆ ให้ฟังสนุกๆ ก็แล้วกันนะ”

      ครูเพ็ญเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ อยู่ที่โรงเรียนสุริยกัณตรเทพแห่งนี้ ตั้งแต่อายุ 21 ปี ปัจจุบันอายุ 51 ปี  มาจากครอบครัวที่พ่อและแม่แยกทางกัน มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน ตอนนี้ก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน

      เนื่องจากขาดพ่อเป็นที่พึ่ง ชีวิตในวัยเด็กจึงไม่มีความสุขเท่าใด และครูเป็นคนรักพ่ออย่างมาก จึงเป็นปมชีวิต ที่สร้างความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา

      “พ่อแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่ ส่วนเราเองก็เฝ้ารอพ่อทุกวัน เพราะรู้ว่าพ่อไปอยู่เชียงใหม่ ก็จะนั่งมองนอกชานหน้าบ้านทุกวัน เชียงใหม่อยู่ทางทิศเหนือ คิดว่า เมื่อไหร่พ่อจะเดินเข้ามาในบ้าน ส่วนคุณแม่เป็นคนที่ตั้งใจเลี้ยงดูลูกมากๆ ถึงแม้คุณแม่จะเจ็บปวดรวดร้าวอย่างไร ก็ไม่เคยปริปากให้ลูกได้ยิน สู้กัดฟันอดทนไว้แต่เพียงผู้เดียว อะไรก็ตามที่ท่านจะทำให้ลูกมีความสุขได้ก็จะรีบทำทันที”

      และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะความเครียดที่สั่งสมมายาวนาน จึงเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดแย้งกับคุณแม่อย่างหนัก เมื่อโดนออกปากไล่ออกจากบ้านบ่อยๆ ก็ทำให้ครูทนไม่ไหว ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่หอพักของมหาวิทยาลัยในที่สุด

      จากนั้นก็เริ่มทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ โดยการสอนพิเศษตามบ้านวันละ 6 ชั่วโมงๆ ละ 20 บาท

      “สอนเลข เอาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนตัวเอง จนสามารถจบปริญญาตรี ในช่วงเรียนอยู่ ปริญญาตรี แทบไม่มีเพื่อนสนิทเลย เพราะเราเป็นคนเก็บตัวเงียบ แต่กิจกรรม เราจะชอบมาก เป็นประเภทนาฏศิลป์ ดนตรี ด้านกีฬา เรียกว่า ทีมชาติมาขอตัวไปร่วมทีม ได้รับเหรียญรางวัล เยอะมาก ชีวิตต้องเจอกับเรื่องสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ผสมกันไปวนเวียนกับเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง”

      ในที่สุดเรียนจบ ก็ได้มาบรรจุเป็นครู ที่โรงเรียนแห่งนี้ ตอนนั้นถือว่า ครูเพ็ญ เป็นครูที่อายุน้อยที่สุด ด้วยความที่เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี คำพูดคำจาไพเราะอ่อนหวาน  มีนิสัยร่าเริง แจ่มใส มีมนุษย์สัมพันธ์ดี จึงเป็นที่รักของเด็กนักเรียนทุกคนได้อย่างรวดเร็ว

      แต่กลับกัน ครูด้วยกันเองกลับไม่ชอบหน้าสักเท่าไร เหตุเพราะความหมั่นไส้ ที่ครูเพ็ญ เป็นครูที่โดดเด่นเกินไป “ช่วงเวลานั้น เรารู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก มีคนคอยอิจฉาริษยา หลายรูปแบบ รอบข้างไม่มีใครจริงใจ แต่ก็ยังโชคดี ที่มีโอกาสได้รู้จักกับครูผู้ชายคนหนึ่ง คอยให้คำแนะนำ และให้กำลังใจแก่เราในเรื่องต่างๆ อาจเป็นเพราะว่า เราต้องการแสวงหา ใครสักคนที่จะมาแทนพ่อ

       ก็เลยพัฒนาเป็นความรัก และตัดสินใจแต่งงาน เพื่อสร้างครอบครัว”
      ชีวิตการแต่งงานมีความสุขอยู่ได้แค่ 2 ปี ก็เริ่มมีปัญหากับสามี
      “ในที่สุด เขาก็แสดงความเป็นตัวตนให้เห็นว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือ การสร้างภาพ เราตัดสินใจทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้กับลูกทั้งสองคน”

No comments:

Post a Comment