Sunday, February 26, 2012

16. เข้าเฝ้าพระอินทร์


      ผมเคยได้ยินเรื่องจุฬามณีเจดีย์มาว่า เป็นเจดีย์แก้วอินทนิล ตั้งอยู่ ณ ดาวดึงส์เทวโลก เป็นที่บรรจุพระโมฬี พระภูษาโพก พระทักขิณทาฒธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ของพระพุทธเจ้า และคนไทยโบราณก็มีความเชื่อว่า เมื่อมีคนใกล้จะตาย ก็ให้นำดอกบัวมาใส่ในมือ พนมถือไว้ เพราะเชื่อกันว่า เพื่อจะได้นำไปกราบไหว้พระจุฬามณี

      ในสมัยก่อนเก่านั้น คนไทยโบราณ ก็จะมีรูปพระจุฬามณีใส่กรอบ วางไว้ในห้องพระ เพื่อกราบบูชาเป็นสิริมงคลอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องราวนั่นเป็นประสบการณ์จากการอ่าน จากตำรา แต่ครั้งนี้ผมจะได้ยินเรื่องจุฬามณี จากปากของหนุ่มน้อยคนนี้! “ปู”

      เสียงตามสายของโรงเรียนดังขึ้น

      “ประกาศๆ ท่านผู้ใดพบกระเป๋าเงิน ของเด็กนักเรียน ช่วยกรุณานำส่งที่ห้อง ประชาสัมพันธ์ด่วน...เด็กกำลังรอความหวังจากท่าน..อย่านิ่งดูดายนะครับ”

      กลุ่มน้องๆ ที่คุยกับผมต่างพากันหัวเราะร่วน แล้วตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปู”

      วินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อใครบางคน

      “นี่..มีคนพบกระเป๋าเงินแล้ว..รออยู่ที่ใต้ต้นมะฮอกกานี”

      ทุกคนต่างหัวเราะในมุกที่วินแหย่ปู  ไม่กี่อึดใจเด็กร่างโตก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในกลุ่ม พร้อมตะโกนถาม

“วิน!!..ไหนล่ะ กระเป๋าเงิน”

      วินเงยหน้ามองปู แล้วพูดสำเนียงแบบอ่างเถิดเทิง “อา..ล้อเล่นน๊า”  กลุ่มนักเรียนต่างพากันหัวเราะชอบใจ แม้ปูจะโกรธขนาดไหนที่โดนแกล้ง แต่ก็อดหัวเราะตามในน้ำเสียง และท่าทางของวินไม่ได้

      น้ำเสริมขึ้น “ที่พวกเราตามตัวเธอมาก็เพราะว่า.. อยากให้เธอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ ปฏิบัติธรรมให้พี่ชรได้ฟังหน่อย”

      ปูหันหน้ามาทางผม แล้วจ้องด้วยสายตาที่ไม่กระพริบเหมือนกำหนดจิตบางอย่าง

      “ได้ครับพี่ ถ้าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธุชน”

      “อนุโมทนา” ผมหยิบสมุดปากกา เตรียมบันทึกทันที

      “ผมชื่อ ปู ครับ แม่บอกว่า ที่ตั้งชื่อนี้ให้ ก็เพราะว่า ผมเป็นเด็กดื้อ ยอมรับครับว่าตอน เด็กๆ ผมมีนิสัยที่ซน และเกเรมากๆ เคยเกือบเผาห้องเรียน เพราะไม่ระวังตอนทดลอง วิทยาศาสตร์ เลยถูกทางโรงเรียนหมายหัวว่า เป็นเด็กเหลือขอ

      พอจบป.6 บรรดาครูที่โรงเรียนเก่า ก็ฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้ว่า หน้าอย่างผม โรงเรียนไหนเขาก็ไม่อยากรับ พอได้เข้าม.1 ที่โรงเรียนสุริยะกัณตรเทพ ผมก็ตั้งใจ และมุ่งมั่นมาก ที่จะตั้งใจเรียน แต่ด้วยความมุ่งมั่นจนเกินไป ผมจึงกลายเป็นคนเครียด”

      ความเครียดทำให้ปู กลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่สุงสิงกับเพื่อน ทั้งๆ ที่รู้ตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเอง จึงได้แต่ทนเรียนมา จนกระทั่งตอน ม. 2 ก็ได้มีโอกาสเรียนกับครูเพ็ญ ซึ่งมีการสอนต่างไปจากคุณครูคนอื่นๆ

      “วิธีการสอนของครูเพ็ญ จะมีการพูดเปรียบเทียบพฤติกรรมของนักเรียน เข้ากับหลักสูตรการสอน ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับครูคนนี้ วันถัดมาผมจึงไปหาครูเพ็ญ ที่ห้อง 138 เพื่อขอความรู้เพิ่มเติม

      ครูเริ่มสอนให้นั่งสมาธิ แล้วกำหนดจิตระลึกถึง ท้องฟ้า แผ่นน้ำ ลมในกาย ลมนอกกาย แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

      ผมสงสัยว่า เราจะอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรได้ยังไง... เราไปทำตอนไหน แต่ท่านไม่ได้พูดอะไร นอกจากบอกว่า ผมมีจินตนาการที่สูง แล้วสั่งให้กลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านก็พยายามทำสมาธิอีกตามวิธีที่เพิ่งเรียนรู้มา ผลที่ได้รับคือความสบายในใจ ที่ชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ผมปฏิบัติแบบนี้ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม

      ทุกๆ ครั้งจะกำหนดจิตระลึกถึงคำพูดของครูที่กล่าวว่า ให้ระลึกถึงท้องฟ้า ให้ระลึกถึงแผ่นน้ำ นึกถึงตัวเรา ให้พิจารณาร่างกายของตัวเรา ว่ามีอะไรบ้าง มีเส้นผม มีลูกตา มีจมูก มีปาก ดูอวัยวะทุกส่วน อวัยวะเพศ ร่างกายดูหมด แล้วดูข้างในดูสมอง ดูลูกกระเดือก ตับไตไส้พุง ร่างกายของตัวเรา เส้นเอ็น เส้นร้อยหวาย อะไรคือเรา

      ดูหมด เลือด น้ำหนอง สิ่งที่มันดี ไม่ดี น่าเกลียดร่างกายเราดูให้หมด เสร็จแล้วก็ให้ลมเข้ามาในร่างกาย แล้วพาเอาสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเราออกไป ทำตัวเราให้โปร่งเหมือนแก้ว กำหนดจิตอยู่ที่ตรงกลางหน้าอก แล้วขยายออกไป ให้เห็นที่เรานั่งอยู่ ให้เห็นที่ๆเ ราอยากจะรู้ แล้วกลับมาที่จิตเรา

       ผลที่เกิดคือ ความสงบ ดูบ่อยๆ เข้าก็จะรู้สึกรังเกียจตัวเอง ในความสกปรก โสโครก  เป็นความรู้สึกที่ขยะแขยงตัวเอง ภายในใจตอนนั้นเริ่มไม่อยากรู้จักกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร อยากอยู่คนเดียว ผู้หญิงที่เคยชอบพอกัน เราเริ่มรู้สึกอยากหนีห่าง”
     
      หลังจากฝึกสมาธิได้ประมาณ 1 เดือน ปูก็ตัดสินใจกลับมาหาครูเพ็ญๆ ได้ตั้งคำถามว่า ถ้ามีกองถ่านอยู่ 2 กอง กองหนึ่งอยู่ที่ตัวปู ส่วนอีกกองหนึ่งอยู่บนตัวของแฟน ปูจะนำเอา ถ่านกองไหนออกก่อน

      ด้วยตอนนั้นปูยังไม่รู้ จึงตอบว่า ปัดเอากองที่อยู่บนตัวของแฟนออกก่อน

       ครูเพ็ญ เฉลยว่า ผิด ความจริงปูจะต้องปัดกองถ่านให้ตัวเองก่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เราต้องรู้จักรักตัวเองก่อน

      จากนั้นปูก็ปรึกษาครูเพ็ญว่า ตอนนี้เป็นทุกข์ เพราะตนเองมีความรู้สึกเบื่อหน่าย ในเรื่องความรัก ในใจเริ่มคิดออกห่างจากแฟน  อีกทั้งมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง คือ การเบื่อหน่ายต่อคำชมที่ผู้อื่นมีต่อเอง

      ครูก็แนะว่า ให้ทำสมาธิต่อไปเรื่อยๆ ก่อน หลังจากนั้น พอปูสามารถทำสมาธิ ได้นิ่งเข้าที่จนเป็นปกติแล้ว ครูเพ็ญก็เริ่มแทรกความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการเล่นพลัง โดยใช้มือของเราเหมือนจะประกบกัน แต่ให้อยู่ห่างกันพอได้ระดับ เราจะรู้สึกว่า มีพลังบางอย่างเกิดขึ้น ถือเป็นกสิณรูปแบบหนึ่ง

      จากนั้นให้กำหนดลูกแก้วที่ปลายจมูก ถ้าเป็นผู้ชายให้กำหนดที่ปลายจมูกด้านขวา ส่วนหญิงที่ปลายจมูกด้านซ้าย แล้วท่องสัมมาอะระหัง 3 ครั้ง

      “แล้วเลื่อนลูกแก้วมาที่หัวตา แล้วท่องสัมมาอะระหัง 3 ครั้ง แล้วเลื่อนไปที่กลางกระหม่อม (โดยลากเส้น 2 เส้น ผ่านจากกลางศีรษะมาที่ลำตัว แล้วก็ลากเป็นเส้นขวาง จากกระหม่อมด้านซ้ายมาขวา จะเกิดจุดตัดจุดหนึ่งพอดีตรงที่กระหม่อม (ฐาน7)) จุดที่ 4 อยู่ตรงลำคอ เลื่อนไปที่จุด 5 ที่ลิ้นปี่ เลื่อนไปจุดที่ 6 คือ สะดือ แล้วเลื่อนไปที่จุดที่ 7 จะอยู่เหนือสะดือ 2 นิ้ว ทุกจุดต้องท่องสัมมาอะระหัง 3 ครั้ง

       จากนั้นค่อยๆ เลื่อนไปจุดต่อไป ให้ท่องหยุดในหยุดๆ จะเริ่มเห็นคนนั่งสมาธิอยู่ในตัว แล้วมีลูกแก้วอยู่ตรงกลาง

      ครูให้ความรู้เพิ่มเติมไปที่จุด 8 หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าวิชาขาด แต่เริ่มไม่เข้าใจ และเรียนต่อไม่ไหวจึงขอตัวกลับ พออยู่ที่บ้านผมพยายามฝึกอีกครั้ง พอลูกแก้วเลื่อนไปที่ฐาน 7 ก็เกิดการแตกตัว แล้วกลายเป็นดอกบัว วันรุ่งขึ้นผมรีบเดินตรงไปหาครูเพ็ญที่ห้อง 138 เพื่อ เล่าผลการปฏิบัติ”

      วันนั้นจึงทำให้ ปู ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต!
      ---------------------------------------------------------------------------------------
(ฐานที่ 1 คือปากช่องจมูก ญ-ซ้าย ช-ขวา คำว่าปากช่องจมูกคือ ปากทางเข้ารูจมูก
ฐานที่ 2 คือเพลาตา ญ-ซ้าย ช-ขวา ประตูน้ำตาออก แต่อยู่ด้านใน
ฐานที่ 3 จอมประสาท อยู่กลางกระโหลกศีรษะ ลากเชือกจากซ้ายไปขวา จากตรงกลางหน้าผากไปทะลุด้านหลังศรีษะ
บริเวณจุดตัดคือฐานที่ 3 ถึงฐานนี้ต้องเหลือกตาขึ้นเบา ๆ
ฐานที่ 4 ปากช่องเพดาน ตรงที่เราเคยสำลักน้ำ-อาหาร
ฐานที่ 5 ปากช่องลำคอ เหนือระดับลูกกระเดือกนิดนึง
ฐานที่ 6 ศูนย์กลางตัวระดับสะดือ กลางจุดตัดเส้นด้ายสองเส้นกลางท้องระดับสะดือ
ฐานที่ 7 ศูนย์กลางกาย เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ (พยายามจับภาพนิมิตให้ชัดทั้งลืมตา และหลับตา)
การเคลื่อนนิมิตจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จะเน้นที่ความเบาสบายไม่เร่งรีบ ไม่อยาก ให้จิตผ่อนคลายเป็นที่ตั้ง
      ******************************************************************

      หลังจากที่ครูเพ็ญรับทราบเรื่องทั้งหมด  ท่านก็ให้ปูทำสมาธิให้ได้สติ กำหนดท้องฟ้า แผ่นน้ำ สักพักก็ปรากฏภาพดินแดนแห่งหนึ่ง มีสระน้ำ มีดอกบัว มีต้นโพธิ์ 3 ต้น โพธิ์แก้ว โพธิ์ทอง โพธิ์เงิน มีน้ำตก เห็นคนแต่งตัวเป็นเครื่องประดับด้วยแก้ว

      จากนั้นก็ถอนสมาธิ ครูให้กลับบ้าน พอกลับถึงบ้าน ปูก็ทำสมาธิต่ออีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นตัวเองไปนั่งตรงต้นโพธิ์เงิน เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า เบาสบาย แต่พอถอนสมาธิร่างกายรู้สึกทรมาน ลึกๆ ก็ไม่ค่อยชอบ แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร

       ครั้งต่อมา ปูได้มีโอกาสขึ้นไปบนสวรรค์ โดยบรรยากาศรอบๆ จะเป็นสีขาว มีเทพชั้นสูง 2 พระองค์ ประทับอยู่ พอปูก้มลงกราบ ท่านก็พูดว่า

      “มาแล้วหรือ รอให้ขึ้นมาตั้งนานแล้ว”

      “ท่านถามถึงการปฏิบัติธรรมของผมว่า เป็นอย่างไรบ้าง ภาษาที่ผมพูดจะใช้ เป็นภาษาธรรมดา แต่ท่านจะใช้ภาษาโบราณ แทนตัวท่านว่าพ่อ แล้วเรียกผมว่า ลูก สนทนาสักพัก ท่านก็บอกว่าไหนๆ ขึ้นมาแล้วน่าจะไปกราบพระจุฬามณีเจดีย์หน่อยนะ จะได้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง ผมพนมมือน้อมรับ

      ทันใดนั้นจิตผมก็มุ่งสู่พระจุฬามณี ผมสังเกตดู บริเวณที่พื้น หรือกำแพงทุกๆ ด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ  องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ  ท่านพ่อได้ให้ความรู้ว่า พระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู จุดที่ตั้งจะอยู่ทาง ทิศตะวันออกของเวชยันต์ วิมาน ซึ่งเป็นวิมานของพระอินทร์ ซึ่งจะมีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของวิมาน  สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตก สวนมิสกวันอยู่ทางเหนือ และสวนปารุสกวันอยู่ทางใต้ แต่ละทิศจะมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ว่า เหล่าแมกไม้นานาพันธุ์ ล้วนแต่เป็นแก้วผลึกใส และก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้ว เป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วจะมีรูปร่างคล้ายเก้าอี้ แล้วก็มีธรรมเทวสภา เรียกว่า เทวสภากับศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเหล่าเทวดา สิ่งประดับประดาด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ  สำหรับพระอินทร์ประทับ แสดงธรรม มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน

      ท่านพ่อบอกว่า เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับ ทำวิมาน  เป็นวิมานที่สูงใหญ่มากมีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์ อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน”
      รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน และในทุกๆ ครั้ง ที่พุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะทำการปลงผมเพื่อออกผนวชเมื่อไหร่ พระอินทร์จะนำผอบทองมารองรับเส้นเกศาของพระองค์ในทันที แล้วจึงอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ จุฬามณีเจดีย์  ที่นั่นยังเป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าอีกด้วย

      ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายจะพากัน มานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน
      “เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์ หนึ่งสวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกาย  แสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป ทำด้วยอิฐทาสีขาว เช่นเดียวกับพระจุฬามณี บางคนก็เห็นเป็นแค่ปูนธรรมดา แต่บางคนก็เห็นเป็นสีทอง ขึ้นอยู่กับว่าสมาธิของใครจะดี อยู่ในระดับไหน จิตสะอาดดีก็จะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์เลย

      ท่านพ่อเสริมความรู้เกี่ยวกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ ล้อมรอบไปด้วยกำแพง แก้ว ๗ ประการ  พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลาใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือ ก็มีสวน สวย  บริเวณกว้างขวาง ซึ่งเกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์ กับมิตรที่พากันปลูก ต้นทองหลางไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้

      ในสมัยเป็นมนุษย์ พระอินทร์องค์นี้ ก็คือ มาฆะมานพในสมัยนั้น ปลูกไว้ เพื่อตั้งใจให้สำหรับคนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทางเป็นระยะทางไกล และมีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย  ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น  แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักผ่อน หายเมื่อยหายขบแล้วค่อยเดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูก ต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมา

      พื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ท่านพ่อย้ำให้ฟังว่า การบุญน่ะไม่มีเสียเปล่า  เวลาตายไปแล้ว ก็จะได้รู้เองว่า บุญที่ทำไปนั้น ช่วยตัวเราได้มากมายมหาศาล ยิ่งนึกก็ยิ่งดีใจที่ตัวผมเองมีโอกาสได้มาสัมผัสกับความงามอันวิจิตรของเวชยันต์วิมาน ท่านพ่อหันมากระซิบบอกว่า พ่อพาเจ้ามาเที่ยวนานได้เวลากลับโลกมนุษย์แล้ว

       แต่ก่อนกลับท่านพ่อก็สอนว่า จงอย่าเคร่งเครียดเกินไปเวลาปฏิบัติธรรม เพราะจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ผมก้มลงกราบลาที่เท้าท่าน..ก่อนกลับสู่สังขารในโลก”

      เด็กๆ หันมามองหน้า เหมือนจะสื่อสารอะไรกันบางอย่าง...และน้ำ ก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ได้เวลา พาพี่เขาไปหาครูเพ็ญแล้วล่ะ”

      พอได้ยินชื่อครูเพ็ญ ขนผมลุกซู่ขึ้นมาทันที เพราะแค่เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ยังมีเรื่องปาฏิหาริย์ให้ทึ่งขนาดนี้ แล้วครูเพ็ญที่รอผมอยู่ที่ห้อง 138

      จะทำให้ผมได้พบปาฏิหาริย์อะไรอีกในวันนี้!

      และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะไปเหยียบห้อง 138 ห้องเรียนปาฏิหาริย์ ด้วยตัวผมเองอีกด้วย

No comments:

Post a Comment