Sunday, February 26, 2012

4. ระลึกอดีตชาติ


   เรื่องนี้ผมเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่า มีพระอรหันต์หลายรูป ที่สามารถมองเห็นอดีตชาติได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ฝึกจิต จนได้บุพเพนิวาสานสติญาณ ( คือได้จตุถณาน  ซึ่งเป็นระดับที่จิตมีกำลัง ที่จะย้อนภาพเหตุการณ์ในอดีตได้) การเห็นอดีตชาติได้นั้น เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่จะยืนยันถึงการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง!

      เสียงเล็กๆ ของดาว ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ และตรงหน้าของผม ก็ปรากฏ เด็กผู้ชายราวๆ 15 ปี หน้าตาผ่องใส กริยาท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่ง

         “พุท..มาก็ดีแล้ว ฉันอยากให้เธอมาคุยกับพี่ชรหน่อย” พุทกล่าวทักทาย

         “ถ้าได้คุยกับน้องเขา พี่จะได้รู้อะไรแปลกๆ อีกเยอะ” ดาวเกริ่นนำสรรพคุณ จนทำให้ผมรู้สึกอยากคุยกับพุทมากยิ่งขึ้น

      พุทเล่าให้ฟังว่า ตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึง และเป็นรุ่นน้องของดาว 1 ปี ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.3 แต่ก็เป็นเด็กที่มีความถ่อมตัวมาก เขาบอกว่า “ถ้าเปรียบเทียบกับพี่ดาวแล้ว ผมมีความสามารถแค่หางอึ่งเท่านั้นเอง เพราะพี่ดาวสามารถเคลื่อนจิตได้ไว สามารถไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ”
      ดาวตอบกลับว่า “พุท..เธอก็ทำอย่างพี่ได้เพียงแค่ทำใจให้สบายๆ..วางจากความกังวลทุกสิ่ง...โดยใช้วิธีที่ครูเพ็ญสอนพวกเรานั่นแหละ..เธอก็จะทำทุกสิ่งได้อย่างง่าย”

      พุท พยักหน้ารับ “มิน่าล่ะ..ยิ่งโตขึ้นยิ่งสงบยาก..ไม่รู้เรื่องอะไรต่อมิอะไร..มันตีกันยุ่งไปหมด”

      ดาวหันมามองผม “พี่อย่าเพิ่งเบื่อนะ..ดาวไม่อยากให้พุทคิดมากเวลาปฏิบัติ”

      จากนั้นพุทก็หันกลับมาเล่าเรื่องของตนเองให้ฟังต่อว่า เขามีนิสัยส่วนตัวชอบความสงบ ชอบที่ร่มรื่น เพราะทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ยิ่งเวลาที่ได้อยู่คนเดียว จะรู้สึกว่า ตนเองมีความสุขมาก

      …อาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆ ตั้งแต่อยู่อนุบาล 1 อาม๊าชอบสอนให้นั่งสมาธิแล้ว โดยให้ท่องพุทโธ สังเกตลมหายใจเข้า และออก พยายามทำตัวให้ว่างเปล่า พอเริ่มเรียนอนุบาล 2 อาม๊า ก็มักพาไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ และสอนให้เคารพพระโพธิสัตว์กวนอิม พร้อมทั้งไม่ให้กินเนื้อวัวตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

      และอาม๊าก็สอนให้สวดมนต์ภาษาจีน และพาไปฟังเทศน์เป็นประจำ ทำให้ภายในจิตสำนึกของพุท รู้จักแยกดี แยกชั่วได้ง่ายตั้งแต่เด็ก และรู้สึกเสมอว่า คนเราไม่ควรจะรีรอที่ทำความดีเมื่อมีโอกาส...

      “พอเริ่มเข้าม.1 ผมเริ่มมีความรู้สึกสัมผัสพิเศษในสิ่งแปลกๆ... เย็นวันหนึ่ง เมื่อกลับจากโรงเรียน ก็รีบเก็บกระเป๋าหนังสือเข้าที่.. ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดไทยเดินผ่านหน้าไปเฉยๆ...ผมรู้สึกตกใจกลัวมากๆ รีบวิ่งแจ้นลงมาข้างล่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้...แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่ให้กับอาม๊าฟัง

      อาม๊า อมยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะ...ท่าน เป็นพระในบ้านมาคุ้มครองทุกคนให้อยู่เป็นสุข”… ด้วยความที่เป็นคนที่เชื่อฟังอาม๊า เมื่อบอกว่า ไม่มีอะไร พุทก็เชื่ออย่างสนิทใจโดยไม่คิดโต้แย้ง
      ดาวสะกิดไหล่พุทเพื่อให้เล่าเรื่องครั้งแรกที่มาห้อง 138 และพบกับครูเพ็ญ

       “วันนั้นเป็นวันที่ทางโรงเรียนจัดงานพิธีการแห่เทียนเข้าพรรษา ผม และเพื่อนๆ ไม่อยากเข้าไปร่วมในขบวนแห่ จึงหนีมาหลบที่ห้อง 138 ตอนนั้นครูเพ็ญกำลังนั่งตรวจการบ้านอยู่ในห้อง ผม และเพื่อนๆ จึงขออนุญาตหลบอยู่ในห้อง 138 ได้ไหม

      แต่ครูเพ็ญกลับตำหนิว่า พวกผมเหลวไหล ทำตัวฝ่าฝืนกฎของโรงเรียน ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนหนีเสือปะจระเข้ จึงตัดสินใจหันหลังเตรียมเดินออกจากห้อง 138 แต่แล้วก็มีเสียงเรียกตามหลังมา”
      “พวกเธอจะอยู่ในห้องนี้ก็ได้ แต่พวกเธอจะต้องนั่งปฏิบัติธรรมกับฉัน”

      พุทมาทราบภายหลังว่า เบื้องบนสั่งให้ครูเพ็ญ สอนการปฏิบัติธรรมให้กับเขาทั้งสามคน...

      “พวกเราทั้งสาม เห็นพ้องกันว่า นั่งอยู่ในห้อง 138 ก็ยังจะน่าเบื่อน้อยกว่าออกไปร่วมขบวนแห่”

        พุทยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้อย่างละเอียด... ครูเพ็ญ สั่งให้นั่งขัดสมาธิ พยายามทำตัวให้สบายที่สุด เมื่อเห็นว่า พวกเขาพร้อมที่จะปฏิบัติธรรม ครูเพ็ญก็เริ่มพูดขึ้นมาว่า.. “ห้องนี้ไม่เหมือนห้องทั่วๆ ไป ถ้าเราเพ่งจิตดีๆ ห้องนี้จะมีบรรยากาศเป็นแดนน้ำตก แดนกินนรี”

      พุทรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว... เนื่องจากตนเองเป็นคนปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว จึงสามารถสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย และเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

       ครูเพ็ญ บอกให้ทุกคนค่อยๆ หลับตา แล้วสั่งให้นึกว่า ตนเองกำลังนั่งอยู่บนผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ค่อยๆ นึกว่า ตัวเรากำลังลอยอยู่บนน้ำ ซึ่งตอนนั้นพุทรู้สึกว่า ตัวเขากำลังลอยอยู่เหนือน้ำจริงๆ ภาพทุกอย่างดูชัดเจนแจ่มใสมาก ขณะที่จิตเพ่งอยู่ในสิ่งนั้นๆ หากไม่คิดในเรื่องอื่นๆ ภาพก็จะปรากฏเด่นชัด
       จากนั้นครูเพ็ญบอกให้ทุกคนค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วแจกกระดาษให้คนละแผ่น และให้ต่างคนต่างเขียนว่า ใครเห็นอะไรกันบ้าง

      “แปลกที่สุด…เราสามคนบรรยายภาพที่เห็นได้เหมือนกันหมด!!!”

      เป็นภาพของผู้หญิงสาวสวยในชุดขาว...ลักษณะละม้ายคล้าย พระโพธิสัตว์กวนอิม ยืนเด่นตระหง่าน โดยมีน้ำตกล้อมรอบ ท่าทางลักษณะของท่านกำลังให้พร... ลักษณะมือของท่านจะอยู่ตรงหน้าท้อง กุมกันอยู่ ยืนอยู่ในท่าสงบ จากนั้นยกมือขวาขึ้นในลักษณะให้พร

       ครูเพ็ญ ถามพวกเราทุกคน..ว่าแอบดูกันหรือเปล่า?..พวกเราต่างส่ายหน้า

      คราวนี้ครูเพ็ญบอกให้นั่งสมาธิอีก แล้วย้อนนึกถึงภาพตัวเองว่า ตั้งแต่เกิดอยู่ในครรภ์
ทำอะไรมาบ้าง

      “ขณะนั้นผมเห็นภาพตัวเองอยู่ในร่างของหญิงสาวใส่ชุดไทย ราวสมัยรัชกาลที่ 5”
      จากนั้นครู ก็บอกให้ถอนสมาธิแล้วให้เขียนบรรยายสิ่งที่เห็นอีกครั้ง...ครั้งนี้ปรากฏว่า เด็กทั้งสามคน เห็นภาพแตกต่างกัน!!

      ทันใดนั้น...จู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์แปลกขึ้นมาทันที คือ ฝนเริ่มตกหนัก ฟ้าร้องสนั่นไปทั่ว

      ครูเพ็ญ หันมาพูดว่า “พวกเธอทั้งสามคน ถูกเบื้องบนกำหนดให้มาที่ห้อง 138 เพื่อปฏิบัติธรรม”

      “พอฝนหยุดตก ผมมีรู้สึกว่า ภายในจิตตนค่อยๆ มีความสว่างผุดขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่เบามากๆ ซึ่งตัวผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ครูเพ็ญ กำชับว่า ให้พวกเรากลับมาที่ห้อง 138 อีก เพื่อเรียนรู้ธรรมเพิ่มเติม เมื่อกลับถึงบ้าน ก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาม๊าฟังทันที”

      อาม๊ายิ้มแล้วบอกว่า “พระมาโปรดแล้ว จงตั้งใจปฏิบัติให้ดีล่ะลูก”

      พอวันรุ่งขึ้นพุทก็รีบมาที่ห้อง 138  ตอนแรกคิดว่า ห้องนี้เป็นแค่ห้องปฏิบัติธรรมเพียงอย่างเดียว  แต่ปรากฏว่า มีการสอนโยคะด้วย ก็เลยเรียนควบคู่กันไป

       “เราปฏิบัติซ้ำเช่นเดิม แต่คราวนี้ครูเพ็ญให้พูดกับอดีตของตัวเรา โดยนั่งกำหนดจิตถึงตัวเราในอดีต และถามถึงที่มาของตัวเอง ผมจะเห็นภาพตัวเองในอดีตมองหน้ากลับมา แต่ไม่โต้ตอบใดๆ ภาพที่เห็นจะเปลี่ยนไปบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเห็นตัวเองเป็นผู้หญิง

      จากนั้น ครูเพ็ญ ก็ให้ผมดูเจ้ากรรมนายเวรของชาติที่แล้วของตัวเองว่า เราไปทำอะไรให้กับเขา และให้เราแผ่เมตตาไปให้กับเขา

      วิธีดูเจ้ากรรมนายเวร ครูเพ็ญจะวางมือทั้งสองในแนวขนาน ส่วนผมหงายมือในแนวขนาน มือของครูเพ็ญจะวางประกบบนมือของผม แล้วให้ระลึกตามว่า แผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรของชาติที่แล้วว่า ชาติที่แล้วเราไปทำอะไรกับเขา”

      ภาพที่ปรากฏนั้น เป็นผู้ชายหลายคนในอิริยาบถต่างๆ กันไป บ้างยืน บ้างนั่งร้องไห้ ลักษณะคล้ายเป็นทาส ตอนนั้นพุทรู้สึกว่า ตนเองเป็นเจ้านายของคนพวกนั้น แล้วไปเฆี่ยนตีเขา แต่พุทจับความรู้สึกของทาสพวกนั้นได้ว่า พวกเขาไม่ได้มีอารมณ์อาฆาตแค้นตน

      พุทอธิบายว่า ช่วงต้นๆ รู้สึกขนลุกเหมือนมีอะไรพัดผ่านตัวไป ต่อเมื่อฝึกบ่อยๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกเป็นปกติ และไม่เกิดความกลัวใดๆ อีกต่อไป

      บทเรียนต่อไป ครูเพ็ญ ก็ให้พุทกำหนดลูกแก้วในตัวเอง โดยให้จิตเลื่อนลูกแก้วไปตามแขนตามมือ สุดท้ายให้กระจายไปหมดทั่วร่างกาย แขน ขา เท้า หัว หน้าอก  มือ ไหล่ เป็นดวงแก้วหลายๆ ดวง แก้วที่กำหนดจะเป็นดวงใสๆ จนสามารถมองทะลุผ่านได้ แล้วระลึกว่า ดวงแก้วแต่ละดวง คือ กรรมของเราในแต่ละชาติ

      จากนั้นให้รวมลูกแก้วทั้งหมดเป็นดวงเดียวกันที่หน้าอก แล้วแผ่เมตตา  พอเสร็จ ครูเพ็ญให้ทุกคนค่อยๆ เอามือไปไว้ที่หน้าอก แล้วค่อยหยิบลูกแก้วตรงหน้าออก แล้วผายมือปล่อยออกไป ตอนนี้จะรู้สึกโล่งที่หน้าอกทันที แล้วก็ให้เริ่มกำหนดจิตดูร่างกายตนเองโดยดูอวัยวะต่างๆ ให้ละเอียดขึ้นๆ

       “ เหตุที่ดูก็เพื่อให้ระลึกเสมอว่า ตัวเราเกิดมาก็มีเพียงเท่านี้เอง ร่างกายนับวันก็มีแต่จะเสื่อมโทรม รอวันตายจะมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วทุกคนก็มีเหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราทุกคนไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกัน จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่น”

No comments:

Post a Comment