Sunday, February 26, 2012

2. ตามล่า...หาเด็กปริศนา


      วันถัดมา...

      ผมมายืนดักรอเด็กผู้หญิงคนนั้น ณ สถานที่เดิม ณ เวลาเดิม

      รถประจำทางคันแล้ว คันเล่า วิ่งเทียบเข้ามาจอดที่ป้าย ผู้โดยสารมากหน้า หลายตา ทยอยกันลงมา แต่ไม่ปรากฏวี่แววของเด็กผู้หญิงคนนั้นแม้แต่เงา เหลือบมองนาฬิกาถึงได้รู้ว่า เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วที่ยืนรอ ผมถอนหายใจแล้วบอกกับตัวเองว่า ล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเด็กคนนั้นเถอะ

      แต่ขณะที่หันหลังเพื่อเดินทางกลับ ก็พลันได้ยินเสียงเรียกไล่หลัง

      “พี่มารอหนูเหรอคะ”

      ผมรีบหันหลังกลับทันที กำลังจะอ้าปากพูด...

      เด็กผู้หญิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “เมื่อคืนหนูกราบเรียนถามพระแล้ว ท่านอนุญาตให้หนูเปิดเผยเรื่องที่พี่อยากจะรู้ได้ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง”

      “น้องครับ..จะกี่ข้อพี่ก็ยอม ว่ามาเลยครับ” ผมรีบรับคำ

      “ถ้าทำได้...ข้อเดียวก็พอ...พระท่านบอกว่า พี่จะต้องหาวิธีในการเผยแพร่เรื่องที่หนูจะเล่าให้กระจายออกไปให้กว้างไกลที่สุด เพื่อประโยชน์ของคนทุกคนจะได้เร่งกันทำความดี และละอายต่อการทำชั่ว ไม่ใช่ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตัวของเราเอง”

      แม้ไม่รู้ว่า ถ้ารับปากไปแล้ว จะทำได้ตามที่พูดหรือไม่ แต่โอกาสที่จะได้รับรู้เรื่องราวมหัศจรรย์แบบนี้เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผม ดังนั้น...

      “พี่สัญญาครับ”

      สาวน้อยเผยรอยยิ้มขึ้นด้วยความปิติเบิกบาน “พี่เดินตามหนูมาทางนี้” พูดจบเธอก็ก้าวเท้าเดินด้วยความรวดเร็ว

      ผมต้องเร่งฝีเท้าเดินตามหลังติดๆ เธอพาผมเดินเข้าตรอกโน้น...ทะลุซอยนี้...ระหว่างทางไม่ยอมพูดจาอะไรด้วยเลยสักคำ จนในที่สุดผมก็เริ่มหมดความอดทน

      “นี่น้องจะพาพี่เดินไปถึงไหนกันนี่ เดินมาตั้งนานแล้ว..เมื่อไหร่จะถึงสักที”

      ได้ผล...คำพูดของผมทำให้เด็กหญิงคนนั้น หยุดชะงักและสวนกลับทันที

      “ถ้าแค่นี้พี่ทนไม่ได้ ก็กลับบ้านไปเถอะ หนูไม่อยากเสียเวลาด้วยกับคนทำอะไรจับจดไม่จริงจัง”

       โอ้โห...ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง..เด็กผู้หญิงตัวนิดเดียวแต่ใช้คำพูดได้เจ็บลึกบาดเข้าไปถึงทรวง ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ผมรีบตัดบท “ใจเย็นก่อนซิ พี่แค่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้บ่นอะไรเลยสักนิด”

      เด็กผู้หญิงไม่ได้โต้ตอบอะไร  แต่กลับหลังหัน และสาวเท้าก้าวต่อไป แหม! เล่นปรามาสกันขนาดนี้ ยิ่งตัวผมถือคติ ฆ่าได้หยามไม่ได้ จึงต้องกัดฟันเดินตามก้นผู้นำทางไปติดๆ

       ไม่กี่อึดใจ...เด็กหญิงคนนั้น ก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ

       “ถึงแล้วค่ะ โรงเรียนสุริยกัณตรเทพ”

      อาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มีลักษณะเหมือนตึกเรียนของโรงเรียนมัธยมฯ ทั่วไป เพียงแต่อาจจะดูเก่าและโทรม คะเนด้วยสายตาคงมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี  ตั้งติดกับชุมชนใหญ่ มีผู้คนพลุกพล่าน ไม่ได้เป็นสถานที่ลึกลับ หรือเป็นสำนักทรงเจ้าเข้าผีแต่อย่างใด

      “เราไปนั่งคุยที่ใต้ต้นมะฮอกกานีกันเถอะคะ” เสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผม
ตื่นจากภวังค์ รีบก้าวเท้าเดินตามเธอโดยไม่อิดออด

      “พี่ยังไม่รู้จักชื่อของน้องเลย ส่วนพี่ชื่อ ชร ครับ” ผมเริ่มเปิดคำถามเพื่อสร้างความเป็นกันเอง

      “ชื่อ ดาว ค่ะ”

      ถ้าสังเกตดีๆ ชื่อของน้องคนนี้ ก็พอจะบ่งบอกอะไรบางอย่างให้กับเราได้ทราบพอเป็นแนว แต่เหมือนว่าดาวจะรู้ใจผม

      “หนูอยากจะให้พี่เข้าใจอะไรบางอย่างก่อนที่หนูจะเล่าเรื่องของหนูให้พี่ฟัง หนูกับพี่หรือคนอื่นในโลกนี้ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย” น้ำเสียงดาวจริงจัง

      ผมพยายามแย้ง “แต่ในสมุดบันทึกของน้องเขียนไว้ว่า...”

       ดาว...สวนทันควัน “เราทุกคนล้วนเกิด...แล้วตายมานับชาติไม่ถ้วน... ในนรกก็เคยอยู่...บนสวรรค์ก็เคยนอน...วนเวียนเกิดเป็นโน่น... กลายเป็นนี่... มานับสารพัด...ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องมาตื่นเต้นอะไรกับเรื่องของหนูอีก”

      แม้ฟังแล้วจะดูมีเหตุผล แต่ผมก็ยังยืนยันความคิดเดิม “ใครจะเกิดมาเป็นอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้น้องช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวน้องเถอะครับ พี่อยากฟังเต็มแก่แล้ว”

      ดาวเริ่มเรียบเรียงเรื่องทันที เธอมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ขณะนี้ดาวกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 ที่โรงเรียนสุริยกัณตรเทพ

      ดาวมีนิสัยแปลกจากเด็กวัยเดียวกันสักหน่อย คือ เป็นคนรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ช่วงแรกๆ ก็มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ แต่โชคดีที่เธอมาพบกับห้อง 138 เข้า...

      “ห้อง 138 ไว้ใช้ทำอะไรครับ” ผมถามด้วยความฉงน
“เป็นห้องที่ใช้เรียนเลข และโยคะค่ะ”

คำตอบของดาวยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปใหญ่ “แล้วไอ้วิชาเลข กับ โยคะ มันทำให้น้องโชค
ดียังไง”

เธอกลับตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หนูได้ฝึกการปฏิบัติธรรมในห้องนี้”

      ครั้งแรกที่มาที่ห้อง 138 นั้น เธอเป็นเพียงเด็กนักเรียนมัธยมปีที่ 1 และได้เห็นรุ่นพี่ที่มาปฏิบัติธรรมนั้น มีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ และมีสมาธิกับความจำในเรื่องต่างๆ ดีมาก

      “หนูเลยอยากรู้ว่า เขาทำกันได้อย่างไร ก็ลองมาศึกษาดู”

      “โรงเรียนนิมนต์พระมาสอนหรือครับ”… ผมอดใจไม่ได้เลยต้องรีบถามแทรก แต่คำตอบที่ได้รับ คือ การส่ายหน้า

       “ คนที่สอนชื่อ ครูเพ็ญ ค่ะ แล้ววิธีที่ครูเพ็ญสอน ก็ต่างจากที่อื่น”

      การสอนสมาธิของครูเพ็ญ ต่างไปจากการสอนสมาธิที่เราเห็นทั่วไป คือ ไม่ได้เป็นการนั่งหลังตรง หลับตา ทำใจให้นิ่ง แต่เป็นการฝึกโดย “วิธีกำหนด แผ่นน้ำ ขอบฟ้า ลมภายใน ลมภายนอก*”

      นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมได้ยินชื่อวิธีฝึกสมาธิแบบนี้ เพราะเท่าที่รู้การฝึกวิชาสมาธิ มีด้วยกันหลายแบบหลายครู แต่แบ่งเป็นสายใหญ่ๆ ได้ 2 สาย คือ สายสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน* แล้ววิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า คืออะไร?

      ดาวเองก็คงรู้ว่า เกิดคำถามในใจขึ้นแล้ว

      ดาวอมยิ้ม “อย่าว่าแต่พี่เลย...แรกๆ หนูก็งงเหมือนกัน แต่พอฟังวิธีการสอนของครูเพ็ญแล้ว...ที่คิดว่ายากก็กลับกลายเป็นง่ายไปหมด”

      “ง่ายของน้อง..แต่ยากสำหรับคนอื่นหรือเปล่า” ผมแย้งทันควัน

      ดาวอมยิ้ม “เอาเป็นว่าถ้าพี่ยังพูดภาษาคนรู้เรื่องละก้อ ก็คงจะไม่มีปัญหา”

*การฝึกวิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า

      เป็นการปฎิบัติสมถกรรมฐานรูปแบบหนึ่ง โดยใช้การเพ่งกสิณ เป็นอุบายทำให้จิตรวมตัวอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเพิ่มพลังจิต จริงๆ แล้ววิธีการฝึกฝนจิตแบบสมถะนี้มีมาก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เสียอีก และก่อนที่จะตรัสรู้ พระองค์ก็ทรงเคยร่ำเรียนมาจากสำนักต่างๆ รวมทั้งทรงคิดวิธีการใหม่มาสั่งสอน และเหล่าภิกษุสงฆ์รุ่นหลังๆ ก็ได้คิดค้นวิธีการใหม่ๆ มาใช้ในการหยุดจิตที่แส่ส่ายให้หยุดนิ่งเป็นสมาธิ

      การเพ่งกสิณ สามารถเพ่งพิจารณาสิ่งภายนอกกาย หรือ สิ่งภายในร่างกายก็ได้ โดยต้องจดจำลักษณะของสิ่งที่เพ่ง แล้วกำหนดบริกรรมในใจ จนกว่าจิตจะนิ่งเป็นสมาธิ เช่น
ถ้าเพ่งกสิณสีแดง ก็บริกรรมในใจว่า โลหิตะกัง (แปลว่าสีแดง) เป็นต้น

      เช่นเดียวกับวิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า ก็ใช้การเพ่งพิจารณาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า แล้วน้อมนำภาพนั้นเข้าสู่ใจ จนเกิดเป็นภาพนิมิตกสิณขึ้น ต่อไปก็เพ่งภาพนั้นในใจอย่างเดียว จากนั้นก็จะมีการฝึกให้ภาพนิมิตขยายเล็ก ขยายใหญ่ หรือเคลื่อนไปมาตามต้องการได้ เมื่อทำจนชำนาญ จิตก็จะมีพลัง สามารถทำสมาธิได้เร็วขึ้น และทำได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ

      ถึงตอนนี้ผมใจร้อนอยากรู้ว่า การฝึกสมาธิแบบนี้คืออะไร แต่ดาวปัดที่จะพูดถึงในตอนนี้ เธอให้เหตุผลว่า ให้อดใจรอฟังจากปากของครูเพ็ญจะดีกว่า ส่วนดาวมีเรื่องที่น่าสนใจมากพอๆ กันจะมาเล่าให้ผมฟัง
       “หนูอยากจะเล่าเรื่องของนรก สวรรค์ให้พี่ฟัง”

No comments:

Post a Comment