Sunday, February 26, 2012

Angle Stories


      กว่า 10 ปี ที่ข้าพเจ้าได้อยู่ในวงการโทรทัศน์ ในฐานะมือปืนรับจ้าง เขียนบทละคร ทั่วราชอาณาจักรไทย อาทิเช่น แหมไม่อยากจะเอ่ย เพราะกลัวจะถูกฟ้อง เนื่องจากงานเขียนที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของชีวิตอันประโลมโลก เน้นความเฮฮา เบิกบาน แต่เจือจางสาระ เปรียบเสมือนลูกอม ที่มีแต่ความซ่าส์ แต่ขาดคุณค่าทางสารอาหาร

      กระทั่งวันหนึ่ง สมองซีกซ้ายได้ตะโกนก้องในกระโหลกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ข้าพเจ้าควรจะสร้างสรรค์ งานที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคม โดยใช้เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อเป็นการเตือนตน และคนรอบข้าง ให้ใช้สติในการดำรงชีวิตโดยไม่ประมาท

      “ความลับสวรรค์” คือเรื่องราวการถ่ายทอดประสบการณ์ของกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ที่รวมตัวกัน ณ สถาบันศึกษาแห่งหนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ทั้งบุคคล หรือสถานที่ ล้วนแล้วแต่เป็นจริงทั้งสิ้น แต่ด้วยความจำเป็นบางประการ ทำให้ข้าพเจ้ามิอาจสามารถเปิดเผยนามบุคคล หรือสถานที่ๆ แท้จริงได้ แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่ประการหนึ่งที่ว่า หากเราลองนำเอาเลข 138 มาบวกรวมกันไปรวมกันมาสุดท้ายจะได้ผลลัพธ์คือเลข 3 อันหมายถึง กฏไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันเป็นสัจธรรมในทุกทั่วสากลพิภพ

      ท่านที่อ่าน ความลับสวรรค์ บางทีท่านอาจจะรู้สึกตั้งคำถามในใจว่า เป็นไปได้หรือ? โกหกหรือเปล่า? ถ้าท่านคิดเช่นนั้น ผมก็อยากจะถามท่านว่า ผีมีจริงหรือไม่? ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องเฉพาะตน เหมือนการปฏิบัติธรรม ใครทำใครได้ พูดง่ายๆ เหมือนทานอาหาร ใครกินคนนั้นก็อิ่ม...

      ความลับสวรรค์ เป็นจริงหรือไม่? ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ กรรม ที่ตนเองทำไว้ ทั้งดี..และทำชั่ว..กรรมเป็นของตรงๆใครทำสิ่งใดไว้..ก็ต้องรับสิ่งนั้นตอบแทน ไม่ว่าคุณจะเต็มใจ หรือไม่ก็ตาม...

      สวรรค์ และนรก มีจริงในโลกนี้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้า เมื่อใดที่เราทำความดี
เมื่อนั้นก็เกิดปิติขึ้นในใจ แต่ยามใดคิดชั่ว...ทำชั่ว จิตใจของเรา..ก็จะเกิดร้อนรุ่ม ...
ใช่ หรือไม่ ลองถามตัวท่านเอง (อย่าหลอกตัวเอง) สวรรค์คอยอยู่ข้างหน้า  เพียงแต่ว่าท่านจะไขว่คว้าหรือไม่

      หากกุศลกรรมอันใดๆ ได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านผู้อ่าน ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา และขอน้อมมอบแก่ มารดา บิดา ของข้าพเจ้าในทุกภูมิ ชาติ ภพ รวมทั้งเหล่าเจ้ากรรมนายเวร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก จงได้รับโดยถ้วนทั่วกัน..และโดยเฉพาะอย่างยิ่งขอถวายกุศลบารมีอันพึ่งเกิดขึ้นจากการสร้างงานในครั้งนี้แด่ทุกดวงจิต ที่เป็นสัมมาทิฐิ ณ ห้อง 138.... .สาธุ... (กราบขอบพระคุณตบท้าย คุณ นงนุช กุลธน และคุณ รัตนสุธรรม โสภณกุล)

                                                                                                           ณนัฐธ์  ทัตกาน (อกาลิโก)


“กรรมเป็นของตัวตน...

กรรมเป็นของเผ่าพันธุ์...                                                                                         

กรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย”  

คำขอขมาพระรัตนตรัย



คำขอขมาพระรัตนตรัย



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต


กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินองค์พระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
โดยมี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปฐม บรมครู ทรงเป็นองค์พระประธาน สิ่งทุกรูปทุกปาง และเจ้ากรรม นายเวร เจ้าบุญนายคุณ ทุกภพทุกชาติ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และไม่มีชีวิตอยู่ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกภพทุกภูมิ ทั้งที่ทราบก็ดี ไม่ทราบก็ดี ทั่วทุกจักรวาลอนันตจักรวาล ขอได้โปรดมารับ และอนุโมทนา และอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ที่ได้ล่วงเกินด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในภพชาติใดก็ตาม ด้วยอานิสงฆ์ผลบุญนี้ ขอให้พ้นจากทุกข์ทุกๆอย่าง สมปรารถนาทุกอย่าง ชนะมารภายใน และมารภายนอก เห็นผลทันตา เห็นทุกชาติ สาธุ สาธุ สาธุ

1. โองการสวรรค์

9 โมงเศษ...

จุดเริ่มต้นที่นำผมเข้าไปพบกับปาฏิหาริย์

      “ จะบีบแตรไปหา.....มึงเหรอ? ”

      เสียงตะโกนด่าของคนขับรถเมล์ ดังสนั่นไปทั่วรถ โชคไม่ดีที่ผมดันยืนอยู่ใกล้ กับคนขับพอดี จึงได้รับคำอวยพรเข้าไปเต็มๆ... เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสองอีก จึงตัดสินใจเดินเบียดเสียดผู้คน ลื่นเลื้อยจนมาถึงบริเวณกึ่งกลางของรถ

      จะด้วยเหตุจงใจ หรือบังเอิญก็ไม่ทราบ ผมได้เห็นเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ 15 ปี กำลังนั่งอ่านบันทึกอย่างจดจ่อ แม้ภายในรถคันนั้นจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ซึ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แต่ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของเธอให้ละสายตาไปจากสมุดบันทึกในมือได้ ที่สำคัญในบางช่วง ผมแอบเห็นเธอ..เผยรอยยิ้ม แต่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้าในขณะเดียวกัน

      ด้วยนิสัยสอดรู้สอดเห็น ผมตัดสินใจทั้งเบียด ทั้งแทรกตัวเอง เพื่อเข้าไปใกล้ เด็กหญิงคนนั้นให้มากที่สุด  อยากรู้ว่า เธอกำลังอ่านอะไร?

      ผมมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเบาะที่นั่งของเธอ ดวงตาเริ่มทำหน้าที่ ทั้งเล็ง ทั้งเพ่งไปที่ตัวอักษรในสมุดบันทึกของเด็กหญิงผู้นั้น...แม้การอ่านตัวหนังสือซึ่งเป็นลายมือเขียนจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะอยู่บนรถเมล์ แต่ก็พอจับใจความสำคัญได้ว่า...

      “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนกำชับให้เราบอกเพื่อนๆ ว่า

      ถ้าต้องการให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้า

      ต้องขยันถอดจิตขึ้นไปเรียนธรรมะที่เบื้องบน

      เพราะในโลกมนุษย์นั้น ล้วนเต็มไปด้วย ราคะของกิเลส ตัณหา

      ที่จะฉุดลากพวกเรา ให้มัวเมา

      และไม่สามารถทำหน้าที่ที่ถูกสวรรค์มอบหมายมาได้”

      ข้อความดังกล่าว แปลกประหลาด คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจ นี่มันเรื่องตลกของเด็กสมัยนี้หรือ?
      หรือว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่คน แล้วเธอเป็นอะไรล่ะ? มนุษย์ต่างดาว?
      ...???...

      แล้วความคิดฟุ้งซ่านก็ต้องถูกสลัดทิ้ง...เมื่อมือของเด็กหญิงผู้นั้น มาสัมผัสที่มือของผมเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า  “ขอทางหน่อยนะคะ หนูจะลงป้ายนี้”

      ผมฉากตัวหลบ เปิดทางให้เด็กหญิงผู้นั้นลงได้โดยสะดวก...รถเมล์ กำลังจะเคลื่อนตัวออกตัวไปอย่างช้าๆ ความคิดบางอย่างในหัวผมก็ประทุขึ้นมาทันที

      “ขอโทษครับๆ ขอลงป้ายนี้ด้วยคนครับ”

      ผมสาวเท้าลงจากรถ รีบวิ่งตรงปรี่ไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นทันที

      “น้องครับ!!ๆๆ น้องไม่ใช่ คนหรือครับ”..ผมร้องถาม

      เด็กคนนั้นหันรีหันขวาง แล้วหันมาตอบผม “พี่พูดอะไรของพี่ หนูไม่รู้เรื่อง”

      ผมสวน “ก็ในสมุดของน้องบอกว่า น้องถูกส่งลงมาจากสวรรค์”

      เด็กหญิงคนนั้นแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่อย่าพูดเสียงดังซิคะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”

      “พี่ไม่พูดเสียงดังก็ได้ แต่น้องต้องบอกพี่มาก่อนว่า ที่พี่พูดเมื่อตะกี้นี้..มันใช่หรือเปล่า? ”

       เด็กหญิงค่อยๆ พยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่เต็มใจ ผมเริ่มออกความคิด “เอายังงี้ดีไหม ถ้าน้องพอมีเวลา พี่อยากจะขอคุยกับน้องสักหน่อย”

      เด็กหญิงทำหน้าตาฉงน ปนระแวง “พี่จะคุยกับหนูเรื่องอะไร? หนูไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะ พี่คิดไม่ดีกับหนูหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

       ผมรีบชูมือห้าม “..อ้าว...ใจเย็นๆ ก่อนซิ...ถามเป็นชุดอย่างนี้แล้วใครจะตอบทันล่ะ ที่พี่อยากจะคุยกับน้องก็เพราะว่า พี่สนใจมากๆ ในเรื่องของน้อง แล้วเรื่องราวของน้องถ้ามีโอกาสได้เผยแพร่ไปให้กับคนอื่นๆ ได้รู้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยนะ”

เด็กคนนั้นจ้องมองหน้าผมตาไม่กะพริบ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น

“หนูไม่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง ขอตัวก่อนนะคะ หนูต้องรีบกลับไปทำงานต่อที่บ้าน” ว่า
แล้วเธอก็หันหลังรีบเดินผละจากไป ผมพยายามที่จะรั้งตัวเธอไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ

      คืนนั้นทั้งคืนในหัวของผมมีแต่เสียงก้องว่า

       “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนกำชับให้เราบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้าต้องการให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้าต้องขยันถอดจิตขึ้นไปเรียนธรรมมะที่เบื้องบน เพราะในโลกมนุษย์นั้นล้วนเต็มไปด้วย ราคะของกิเลส ตัณหา ที่จะฉุดลากพวกเรา ให้มัวเมา และไม่สามารถทำหน้าที่ๆถูกสวรรค์มอบหมายมาได้”

      “เป็นไงเป็นกัน..พรุ่งนี้เราต้องรู้เรื่องเด็กคนนั้นให้ได้” ผมพูดกับตัวเอง และผล่อยหลับไปด้วยความเพลีย


2. ตามล่า...หาเด็กปริศนา


      วันถัดมา...

      ผมมายืนดักรอเด็กผู้หญิงคนนั้น ณ สถานที่เดิม ณ เวลาเดิม

      รถประจำทางคันแล้ว คันเล่า วิ่งเทียบเข้ามาจอดที่ป้าย ผู้โดยสารมากหน้า หลายตา ทยอยกันลงมา แต่ไม่ปรากฏวี่แววของเด็กผู้หญิงคนนั้นแม้แต่เงา เหลือบมองนาฬิกาถึงได้รู้ว่า เกือบ 2 ชั่วโมงแล้วที่ยืนรอ ผมถอนหายใจแล้วบอกกับตัวเองว่า ล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเด็กคนนั้นเถอะ

      แต่ขณะที่หันหลังเพื่อเดินทางกลับ ก็พลันได้ยินเสียงเรียกไล่หลัง

      “พี่มารอหนูเหรอคะ”

      ผมรีบหันหลังกลับทันที กำลังจะอ้าปากพูด...

      เด็กผู้หญิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “เมื่อคืนหนูกราบเรียนถามพระแล้ว ท่านอนุญาตให้หนูเปิดเผยเรื่องที่พี่อยากจะรู้ได้ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง”

      “น้องครับ..จะกี่ข้อพี่ก็ยอม ว่ามาเลยครับ” ผมรีบรับคำ

      “ถ้าทำได้...ข้อเดียวก็พอ...พระท่านบอกว่า พี่จะต้องหาวิธีในการเผยแพร่เรื่องที่หนูจะเล่าให้กระจายออกไปให้กว้างไกลที่สุด เพื่อประโยชน์ของคนทุกคนจะได้เร่งกันทำความดี และละอายต่อการทำชั่ว ไม่ใช่ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตัวของเราเอง”

      แม้ไม่รู้ว่า ถ้ารับปากไปแล้ว จะทำได้ตามที่พูดหรือไม่ แต่โอกาสที่จะได้รับรู้เรื่องราวมหัศจรรย์แบบนี้เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผม ดังนั้น...

      “พี่สัญญาครับ”

      สาวน้อยเผยรอยยิ้มขึ้นด้วยความปิติเบิกบาน “พี่เดินตามหนูมาทางนี้” พูดจบเธอก็ก้าวเท้าเดินด้วยความรวดเร็ว

      ผมต้องเร่งฝีเท้าเดินตามหลังติดๆ เธอพาผมเดินเข้าตรอกโน้น...ทะลุซอยนี้...ระหว่างทางไม่ยอมพูดจาอะไรด้วยเลยสักคำ จนในที่สุดผมก็เริ่มหมดความอดทน

      “นี่น้องจะพาพี่เดินไปถึงไหนกันนี่ เดินมาตั้งนานแล้ว..เมื่อไหร่จะถึงสักที”

      ได้ผล...คำพูดของผมทำให้เด็กหญิงคนนั้น หยุดชะงักและสวนกลับทันที

      “ถ้าแค่นี้พี่ทนไม่ได้ ก็กลับบ้านไปเถอะ หนูไม่อยากเสียเวลาด้วยกับคนทำอะไรจับจดไม่จริงจัง”

       โอ้โห...ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง..เด็กผู้หญิงตัวนิดเดียวแต่ใช้คำพูดได้เจ็บลึกบาดเข้าไปถึงทรวง ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ผมรีบตัดบท “ใจเย็นก่อนซิ พี่แค่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้บ่นอะไรเลยสักนิด”

      เด็กผู้หญิงไม่ได้โต้ตอบอะไร  แต่กลับหลังหัน และสาวเท้าก้าวต่อไป แหม! เล่นปรามาสกันขนาดนี้ ยิ่งตัวผมถือคติ ฆ่าได้หยามไม่ได้ จึงต้องกัดฟันเดินตามก้นผู้นำทางไปติดๆ

       ไม่กี่อึดใจ...เด็กหญิงคนนั้น ก็หยุดเดินเอาเสียดื้อๆ

       “ถึงแล้วค่ะ โรงเรียนสุริยกัณตรเทพ”

      อาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า มีลักษณะเหมือนตึกเรียนของโรงเรียนมัธยมฯ ทั่วไป เพียงแต่อาจจะดูเก่าและโทรม คะเนด้วยสายตาคงมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี  ตั้งติดกับชุมชนใหญ่ มีผู้คนพลุกพล่าน ไม่ได้เป็นสถานที่ลึกลับ หรือเป็นสำนักทรงเจ้าเข้าผีแต่อย่างใด

      “เราไปนั่งคุยที่ใต้ต้นมะฮอกกานีกันเถอะคะ” เสียงของเด็กผู้หญิงคนนั้น ทำให้ผม
ตื่นจากภวังค์ รีบก้าวเท้าเดินตามเธอโดยไม่อิดออด

      “พี่ยังไม่รู้จักชื่อของน้องเลย ส่วนพี่ชื่อ ชร ครับ” ผมเริ่มเปิดคำถามเพื่อสร้างความเป็นกันเอง

      “ชื่อ ดาว ค่ะ”

      ถ้าสังเกตดีๆ ชื่อของน้องคนนี้ ก็พอจะบ่งบอกอะไรบางอย่างให้กับเราได้ทราบพอเป็นแนว แต่เหมือนว่าดาวจะรู้ใจผม

      “หนูอยากจะให้พี่เข้าใจอะไรบางอย่างก่อนที่หนูจะเล่าเรื่องของหนูให้พี่ฟัง หนูกับพี่หรือคนอื่นในโลกนี้ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย” น้ำเสียงดาวจริงจัง

      ผมพยายามแย้ง “แต่ในสมุดบันทึกของน้องเขียนไว้ว่า...”

       ดาว...สวนทันควัน “เราทุกคนล้วนเกิด...แล้วตายมานับชาติไม่ถ้วน... ในนรกก็เคยอยู่...บนสวรรค์ก็เคยนอน...วนเวียนเกิดเป็นโน่น... กลายเป็นนี่... มานับสารพัด...ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องมาตื่นเต้นอะไรกับเรื่องของหนูอีก”

      แม้ฟังแล้วจะดูมีเหตุผล แต่ผมก็ยังยืนยันความคิดเดิม “ใครจะเกิดมาเป็นอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้น้องช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวน้องเถอะครับ พี่อยากฟังเต็มแก่แล้ว”

      ดาวเริ่มเรียบเรียงเรื่องทันที เธอมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน ขณะนี้ดาวกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 ที่โรงเรียนสุริยกัณตรเทพ

      ดาวมีนิสัยแปลกจากเด็กวัยเดียวกันสักหน่อย คือ เป็นคนรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ช่วงแรกๆ ก็มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ แต่โชคดีที่เธอมาพบกับห้อง 138 เข้า...

      “ห้อง 138 ไว้ใช้ทำอะไรครับ” ผมถามด้วยความฉงน
“เป็นห้องที่ใช้เรียนเลข และโยคะค่ะ”

คำตอบของดาวยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปใหญ่ “แล้วไอ้วิชาเลข กับ โยคะ มันทำให้น้องโชค
ดียังไง”

เธอกลับตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หนูได้ฝึกการปฏิบัติธรรมในห้องนี้”

      ครั้งแรกที่มาที่ห้อง 138 นั้น เธอเป็นเพียงเด็กนักเรียนมัธยมปีที่ 1 และได้เห็นรุ่นพี่ที่มาปฏิบัติธรรมนั้น มีความสามารถพิเศษที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ และมีสมาธิกับความจำในเรื่องต่างๆ ดีมาก

      “หนูเลยอยากรู้ว่า เขาทำกันได้อย่างไร ก็ลองมาศึกษาดู”

      “โรงเรียนนิมนต์พระมาสอนหรือครับ”… ผมอดใจไม่ได้เลยต้องรีบถามแทรก แต่คำตอบที่ได้รับ คือ การส่ายหน้า

       “ คนที่สอนชื่อ ครูเพ็ญ ค่ะ แล้ววิธีที่ครูเพ็ญสอน ก็ต่างจากที่อื่น”

      การสอนสมาธิของครูเพ็ญ ต่างไปจากการสอนสมาธิที่เราเห็นทั่วไป คือ ไม่ได้เป็นการนั่งหลังตรง หลับตา ทำใจให้นิ่ง แต่เป็นการฝึกโดย “วิธีกำหนด แผ่นน้ำ ขอบฟ้า ลมภายใน ลมภายนอก*”

      นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมได้ยินชื่อวิธีฝึกสมาธิแบบนี้ เพราะเท่าที่รู้การฝึกวิชาสมาธิ มีด้วยกันหลายแบบหลายครู แต่แบ่งเป็นสายใหญ่ๆ ได้ 2 สาย คือ สายสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน* แล้ววิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า คืออะไร?

      ดาวเองก็คงรู้ว่า เกิดคำถามในใจขึ้นแล้ว

      ดาวอมยิ้ม “อย่าว่าแต่พี่เลย...แรกๆ หนูก็งงเหมือนกัน แต่พอฟังวิธีการสอนของครูเพ็ญแล้ว...ที่คิดว่ายากก็กลับกลายเป็นง่ายไปหมด”

      “ง่ายของน้อง..แต่ยากสำหรับคนอื่นหรือเปล่า” ผมแย้งทันควัน

      ดาวอมยิ้ม “เอาเป็นว่าถ้าพี่ยังพูดภาษาคนรู้เรื่องละก้อ ก็คงจะไม่มีปัญหา”

*การฝึกวิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า

      เป็นการปฎิบัติสมถกรรมฐานรูปแบบหนึ่ง โดยใช้การเพ่งกสิณ เป็นอุบายทำให้จิตรวมตัวอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเพิ่มพลังจิต จริงๆ แล้ววิธีการฝึกฝนจิตแบบสมถะนี้มีมาก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้เสียอีก และก่อนที่จะตรัสรู้ พระองค์ก็ทรงเคยร่ำเรียนมาจากสำนักต่างๆ รวมทั้งทรงคิดวิธีการใหม่มาสั่งสอน และเหล่าภิกษุสงฆ์รุ่นหลังๆ ก็ได้คิดค้นวิธีการใหม่ๆ มาใช้ในการหยุดจิตที่แส่ส่ายให้หยุดนิ่งเป็นสมาธิ

      การเพ่งกสิณ สามารถเพ่งพิจารณาสิ่งภายนอกกาย หรือ สิ่งภายในร่างกายก็ได้ โดยต้องจดจำลักษณะของสิ่งที่เพ่ง แล้วกำหนดบริกรรมในใจ จนกว่าจิตจะนิ่งเป็นสมาธิ เช่น
ถ้าเพ่งกสิณสีแดง ก็บริกรรมในใจว่า โลหิตะกัง (แปลว่าสีแดง) เป็นต้น

      เช่นเดียวกับวิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า ก็ใช้การเพ่งพิจารณาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า แล้วน้อมนำภาพนั้นเข้าสู่ใจ จนเกิดเป็นภาพนิมิตกสิณขึ้น ต่อไปก็เพ่งภาพนั้นในใจอย่างเดียว จากนั้นก็จะมีการฝึกให้ภาพนิมิตขยายเล็ก ขยายใหญ่ หรือเคลื่อนไปมาตามต้องการได้ เมื่อทำจนชำนาญ จิตก็จะมีพลัง สามารถทำสมาธิได้เร็วขึ้น และทำได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ

      ถึงตอนนี้ผมใจร้อนอยากรู้ว่า การฝึกสมาธิแบบนี้คืออะไร แต่ดาวปัดที่จะพูดถึงในตอนนี้ เธอให้เหตุผลว่า ให้อดใจรอฟังจากปากของครูเพ็ญจะดีกว่า ส่วนดาวมีเรื่องที่น่าสนใจมากพอๆ กันจะมาเล่าให้ผมฟัง
       “หนูอยากจะเล่าเรื่องของนรก สวรรค์ให้พี่ฟัง”

3. ทัวร์นรก..กับ..ดาว



      “พี่เชื่อว่านรก – สวรรค์  มีจริงหรือเปล่า!”

      แม้จะเป็นคำถามที่ดาวตั้งขึ้นถามผม แต่รู้สึกว่า มันเป็นคำถามที่อยู่ในใจของเราชาวพุทธทุกคนเหมือนกัน เรื่องนรก สวรรค์ จัดเป็นเรื่องที่ไม่สามารพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่จะบอกว่า ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครสามารถหาเครื่องมือมาพิสูจน์แบบฟันธงได้ว่า ไม่มีเด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ถ้าต้องการพิสูจน์ก็ต้องใช้จิตวิญญาณเป็นตัวรับรู้ ซึ่งนั่นก็หมายถึง เราต้องตายก่อนถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่า มีจริงหรือไม่?

      ในทางพุทธศาสนาเท่าที่รู้มา คือ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ไม่ว่านรกสวรรค์จะมีจริงหรือไม่ใช่เรื่องที่ต้องบังคับให้เชื่อ แต่พระพุทธองค์ทรงให้มองว่า หากเราทำดีแล้ว ถ้านรกมีจริง สวรรค์มีจริง เราก็ไม่ต้องตกนรก และได้ขึ้นสวรรค์เพื่อเสวยกรรมดีที่เราได้ทำลงไป ตรงกันข้าม ถ้าทำชั่ว หากนรกมีจริง ก็จะต้องลงไปชดใช้เวรกรรม ฟังพระดำรัสเพียงแค่นี้ ก็สามารถเลือกได้แล้วควรจะทำดี หรือ ทำชั่ว

         แต่ตอนนี้ ไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่า เด็กผู้หญิงตัวเล็กข้างหน้าผมนี้จะพาไปทัวร์นรกของจริง!!
      ดาวบอกว่า เธอได้มีโอกาสไปเที่ยวนรก หลังจากที่ได้ปฏิบัติธรรมที่ห้อง 138 ได้เพียงแค่ 2 สัปดาห์ เธอเล่าราวกับการไปเที่ยวนรกนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเสียเหลือเกิน และเธอไม่ได้ไปโดยลำพังคนเดียว

      “พระพาหนูไปค่ะ”

      ผมอดถามไม่ได้ “พระที่ไหน...มีคนนิมนต์พระมาที่ห้อง 138 เหรอ?”

      ดาวส่ายหน้า “หนูระลึกถึงพระคุณบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้โปรดทรงเมตตาสงเคราะห์ให้หนูได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่พึงปรารถนา โดยไม่เกินวิสัยที่หนูจะสามารถไปได้คะ”
      ดาวนิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังรวบรวมความทรงจำ ก่อนเปิดปากเล่า

      “นรกที่หนูไปมามีชื่อเรียกว่า โลหะกุมภี เป็นนรกขุมที่ 1 ผู้ที่ตกนรกขุมนี้เกิดจากโทษที่ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต...ภายในนรกขุมนี้จะมีหม้อใบใหญ่ขนาดมหึมา หรือเล็กก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของคนที่ถูกโทษทัณฑ์…พูดง่ายๆ ก็คือขยายขนาดตามจำนวนคน ในหม้อทองแดงนี้ก็จะมีน้ำทองแดง

      น้ำทองแดง คือ น้ำที่เอาโลหะมาเคี่ยวให้ร้อนจัดจนหลอมละลาย ผู้ที่มีหน้าที่ในการลงโทษ คือ นายนิริยบาล...เป็นผู้ที่คอยเอาหอกเสียบสัตว์นรก แล้วโยนลงไปในหม้อทองแดง สัตว์นรกบางตัวก็ถูกเอาค้อนใหญ่ตีหัวให้คะมำลงไปบ้าง เมื่อสัตว์นรกลงไปในหม้อทองแดง ซึ่งเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา... สัตว์นรกก็จะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาปากหม้อ แต่ก็ต้องไหลลื่นจมลงไปที่ก้นหม้อ  แล้วก็จมลงไปก้นหม้อ และก็ไหลขึ้นมาที่ปากหม้ออีก วนเวียนกันอยู่แบบนั้นไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรม

      การวินิจฉัยกรรม : เป็นตอนที่สำคัญ

      แต่ก่อนเราอาจจะแยกแยะว่า การกระทำใดเป็นกรรมดี กรรมชั่ว ได้ลำบาก

      อ่านต่อไปครับ แล้วเราก็จะสามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดาย

      ผมฟังไปนึกภาพตามไป... ก็อดขนลุกตามไม่ได้...

      “เออ..ดาว อย่างพี่เคยตบยุงเนี่ย จะบาปไหมครับ”

      ดาวอธิบายถึงเกณฑ์ในการวินิจฉัยกรรมให้ฟังว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เจตนาเป็นสำคัญ ถ้าเราฆ่าผู้อื่นด้วยความตั้งใจ การกระทำนั้นก็จัดเป็นกรรมไม่ดี ดังนั้น ถ้าผมตั้งใจตบยุงให้ตายคามือ ในตอนนั้นจิตผมก็จะมีเจตนาไม่ดี มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นองค์ประกอบ ย่อมถือว่า เป็นบาปแน่นอน

      กลับกันหากบังเอิญ ผมเดินไปเหยียบมดตาย เพราะมองไม่เห็น ไม่ได้มีเจตนาฆ่ามดตัวนั้น ก็ไม่จัดว่า เป็นกรรมแต่อย่างใด ดาวยังแนะนำว่า ถ้าเรารู้ตัวว่า ทำผิดกันอยู่ ก็ให้เร่งทำความดี มีความเมตตาต่อผู้อื่น โดยพิจารณาง่ายๆ คือ ให้คิดถึงใจเขา ใจเรา หากเราไม่ชอบสิ่งไหน ก็อย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น เพียงเท่านี้ เราก็จะรอดจากนรกขุมนี้ ฟังแบบนี้แล้วผมก็เป่าปากโล่ง ชีวิตยังพอมีหวังแก้ตัวใหม่ได้

      นรกขุมต่อไปที่ดาวเล่าให้ฟังคือ นรกขุมที่ 2 ที่มีชื่อเรียกว่า สิมพลีนรก

      “เรียกกันง่ายๆ ก็คือ นรกต้นงิ้ว  ลักษณะของต้นงิ้วไม่มีใบ มีแต่กิ่งกับหนามแหลมคม หนามงิ้ว ในเมืองนรกนี่ยาว  ๑๖ องคุลี  ๑๖ องคุลี   นี่ไม่ใช่องคุลีมนุษย์ แต่เป็นองคุลีนรก ยาวมาก ใหญ่มาก แล้วมีสภาพเป็นสปริง...มันจะเกาะอยู่กับต้นธรรมดา มีความคมเป็นกรด แต่ว่าเวลาที่คนมีบาปขึ้นไป มันจะพุ่งตัวหนามออกมาแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่อยู่นิ่งๆ เด้งได้เหมือนสปริงที่ทำเก้าอี้

      พอเวลานั่งก็ยุบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา รวมความว่า มีสภาพเป็นหนามที่มีชีวิตก็แล้วกัน  แต่ความจริงไม่มีชีวิต  แต่มันรู้ว่า คนที่มีความชั่วขึ้นไป แล้วไปกระทบตัวมันๆ จะพุ่งแทงทันที เลือดก็จะแดงฉานลงมา นรกขุมนี้มีไว้สำหรับลงโทษพวกเจ้าชู้มักมากในกาม ชอบเล่นชู้กับผัว เมีย ชาวบ้าน ไม่ใช่แค่นั้นนะพี่ ...ถ้าไปยุ่งกับลูกของคนอื่นโดยที่พ่อแม่เขาไม่อนุญาต ก็ต้องตกลงมาในนรกขุมนี้เหมือนกัน”
      “น้องดาวพอจะเล่าสภาพรอบๆ ได้ไหมครับ” ผมพยายามเก็บรายละเอียด  ดาว เพ่งสายตาเหมือนเห็นภาพบางอย่าง...
      “ที่โคนต้นของต้นงิ้ว จะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่แหลมคมกริบ ใกล้ๆ บริเวณนั้นจะมีสุนัขไว้คอยไล่กัดสัตว์นรก ส่วนบนยอดของต้นงิ้ว ก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ๆ ปากเป็นเหล็กแหลมคอยจิกสัตว์นรก แม้ต้นงิ้วจะมีจำนวนมากมายมหาศาล ไกลสุดลูกหูลูกตา เกินคณานับ แต่ละต้นจะมีทั้งหญิงและชาย คอยไต่ไปมาบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบยันขึ้นไปบนต้นงิ้ว ถ้าใครไม่ยอมไต่ขึ้นไปก็แทงซ้ำอีก กลัวหอกก็ไต่ขึ้นไป หนามก็บาดเลือดโทรม แล้วบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลัง พุ่งข้าง พุ่งหัว พุ่งตามตัว เลือดพุ่งกระจายแดงฉานไปหมด ส่งเสียงร้องครวญคราง

      มองสูงขึ้นไปหน่อย พวกที่ขึ้นไปถึงยอด...ก็จะถูกแร้ง และกาจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง  อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล่าง พอใกล้ลงมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ ในแต่ละต้นจะมีคนเยอะมาก บางครั้งนายนิริยบาลก็ยันทุกคนไม่ทัน บางคนลงมาข้างล่าง เจ้าหมาใหญ่ก็ไล่กระโจนเข้ากัดอีก กินเนื้อแทะเนื้อถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้ว สักพักก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไปใหม่ เอาไปวางไว้บนต้นงิ้ว วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดกรรม”

      โอย..ช่างน่าสยดสยองอะไรขนาดนี้...นี่ขนาดแค่ได้ฟัง...ยังน่ากลัวขนาดนี้.มันช่างเป็นอะไรที่ทรมานอย่างสุดจะบรรยายถึงความเจ็ดปวดของผู้ที่อยู่ในนรก

      “แล้วน้องได้คุยอะไรกับใครในนรก หรือเปล่า”

      ดาวส่ายหน้า “แต่ขณะที่หนูหันหลังเพื่อเดินทางกลับ ได้มีเสียงก้องตะโกนตามหลังมาว่า “เมื่อเจ้าได้เห็นความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกแล้ว ก็จงเกรงกลัวต่อการทำชั่ว และที่สำคัญเมื่อมีโอกาสเมื่อใด จงหาวิธีบอก และเตือนบุคคลที่ใกล้ชิดให้ละความชั่ว และเร่งกันสร้างความดี”

      เล่ามาถึงตรงนี้ ดาวขอพักเรื่องนรกเอาไว้เพียงแค่นรกขุมที่ 1 ก่อน เพราะเพื่อนเธออีกคนหนึ่ง กำลังจะมาที่นี่

      เขาระลึกชาติได้!


4. ระลึกอดีตชาติ


   เรื่องนี้ผมเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างว่า มีพระอรหันต์หลายรูป ที่สามารถมองเห็นอดีตชาติได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่ฝึกจิต จนได้บุพเพนิวาสานสติญาณ ( คือได้จตุถณาน  ซึ่งเป็นระดับที่จิตมีกำลัง ที่จะย้อนภาพเหตุการณ์ในอดีตได้) การเห็นอดีตชาติได้นั้น เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่จะยืนยันถึงการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง!

      เสียงเล็กๆ ของดาว ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ และตรงหน้าของผม ก็ปรากฏ เด็กผู้ชายราวๆ 15 ปี หน้าตาผ่องใส กริยาท่าทางเรียบร้อยคนหนึ่ง

         “พุท..มาก็ดีแล้ว ฉันอยากให้เธอมาคุยกับพี่ชรหน่อย” พุทกล่าวทักทาย

         “ถ้าได้คุยกับน้องเขา พี่จะได้รู้อะไรแปลกๆ อีกเยอะ” ดาวเกริ่นนำสรรพคุณ จนทำให้ผมรู้สึกอยากคุยกับพุทมากยิ่งขึ้น

      พุทเล่าให้ฟังว่า ตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึง และเป็นรุ่นน้องของดาว 1 ปี ตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.3 แต่ก็เป็นเด็กที่มีความถ่อมตัวมาก เขาบอกว่า “ถ้าเปรียบเทียบกับพี่ดาวแล้ว ผมมีความสามารถแค่หางอึ่งเท่านั้นเอง เพราะพี่ดาวสามารถเคลื่อนจิตได้ไว สามารถไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ”
      ดาวตอบกลับว่า “พุท..เธอก็ทำอย่างพี่ได้เพียงแค่ทำใจให้สบายๆ..วางจากความกังวลทุกสิ่ง...โดยใช้วิธีที่ครูเพ็ญสอนพวกเรานั่นแหละ..เธอก็จะทำทุกสิ่งได้อย่างง่าย”

      พุท พยักหน้ารับ “มิน่าล่ะ..ยิ่งโตขึ้นยิ่งสงบยาก..ไม่รู้เรื่องอะไรต่อมิอะไร..มันตีกันยุ่งไปหมด”

      ดาวหันมามองผม “พี่อย่าเพิ่งเบื่อนะ..ดาวไม่อยากให้พุทคิดมากเวลาปฏิบัติ”

      จากนั้นพุทก็หันกลับมาเล่าเรื่องของตนเองให้ฟังต่อว่า เขามีนิสัยส่วนตัวชอบความสงบ ชอบที่ร่มรื่น เพราะทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ยิ่งเวลาที่ได้อยู่คนเดียว จะรู้สึกว่า ตนเองมีความสุขมาก

      …อาจเป็นเพราะสมัยเด็กๆ ตั้งแต่อยู่อนุบาล 1 อาม๊าชอบสอนให้นั่งสมาธิแล้ว โดยให้ท่องพุทโธ สังเกตลมหายใจเข้า และออก พยายามทำตัวให้ว่างเปล่า พอเริ่มเรียนอนุบาล 2 อาม๊า ก็มักพาไปทำบุญที่วัดเป็นประจำ และสอนให้เคารพพระโพธิสัตว์กวนอิม พร้อมทั้งไม่ให้กินเนื้อวัวตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

      และอาม๊าก็สอนให้สวดมนต์ภาษาจีน และพาไปฟังเทศน์เป็นประจำ ทำให้ภายในจิตสำนึกของพุท รู้จักแยกดี แยกชั่วได้ง่ายตั้งแต่เด็ก และรู้สึกเสมอว่า คนเราไม่ควรจะรีรอที่ทำความดีเมื่อมีโอกาส...

      “พอเริ่มเข้าม.1 ผมเริ่มมีความรู้สึกสัมผัสพิเศษในสิ่งแปลกๆ... เย็นวันหนึ่ง เมื่อกลับจากโรงเรียน ก็รีบเก็บกระเป๋าหนังสือเข้าที่.. ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดไทยเดินผ่านหน้าไปเฉยๆ...ผมรู้สึกตกใจกลัวมากๆ รีบวิ่งแจ้นลงมาข้างล่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้...แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่ให้กับอาม๊าฟัง

      อาม๊า อมยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกลัวนะ...ท่าน เป็นพระในบ้านมาคุ้มครองทุกคนให้อยู่เป็นสุข”… ด้วยความที่เป็นคนที่เชื่อฟังอาม๊า เมื่อบอกว่า ไม่มีอะไร พุทก็เชื่ออย่างสนิทใจโดยไม่คิดโต้แย้ง
      ดาวสะกิดไหล่พุทเพื่อให้เล่าเรื่องครั้งแรกที่มาห้อง 138 และพบกับครูเพ็ญ

       “วันนั้นเป็นวันที่ทางโรงเรียนจัดงานพิธีการแห่เทียนเข้าพรรษา ผม และเพื่อนๆ ไม่อยากเข้าไปร่วมในขบวนแห่ จึงหนีมาหลบที่ห้อง 138 ตอนนั้นครูเพ็ญกำลังนั่งตรวจการบ้านอยู่ในห้อง ผม และเพื่อนๆ จึงขออนุญาตหลบอยู่ในห้อง 138 ได้ไหม

      แต่ครูเพ็ญกลับตำหนิว่า พวกผมเหลวไหล ทำตัวฝ่าฝืนกฎของโรงเรียน ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนหนีเสือปะจระเข้ จึงตัดสินใจหันหลังเตรียมเดินออกจากห้อง 138 แต่แล้วก็มีเสียงเรียกตามหลังมา”
      “พวกเธอจะอยู่ในห้องนี้ก็ได้ แต่พวกเธอจะต้องนั่งปฏิบัติธรรมกับฉัน”

      พุทมาทราบภายหลังว่า เบื้องบนสั่งให้ครูเพ็ญ สอนการปฏิบัติธรรมให้กับเขาทั้งสามคน...

      “พวกเราทั้งสาม เห็นพ้องกันว่า นั่งอยู่ในห้อง 138 ก็ยังจะน่าเบื่อน้อยกว่าออกไปร่วมขบวนแห่”

        พุทยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้อย่างละเอียด... ครูเพ็ญ สั่งให้นั่งขัดสมาธิ พยายามทำตัวให้สบายที่สุด เมื่อเห็นว่า พวกเขาพร้อมที่จะปฏิบัติธรรม ครูเพ็ญก็เริ่มพูดขึ้นมาว่า.. “ห้องนี้ไม่เหมือนห้องทั่วๆ ไป ถ้าเราเพ่งจิตดีๆ ห้องนี้จะมีบรรยากาศเป็นแดนน้ำตก แดนกินนรี”

      พุทรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว... เนื่องจากตนเองเป็นคนปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว จึงสามารถสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย และเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย

       ครูเพ็ญ บอกให้ทุกคนค่อยๆ หลับตา แล้วสั่งให้นึกว่า ตนเองกำลังนั่งอยู่บนผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ค่อยๆ นึกว่า ตัวเรากำลังลอยอยู่บนน้ำ ซึ่งตอนนั้นพุทรู้สึกว่า ตัวเขากำลังลอยอยู่เหนือน้ำจริงๆ ภาพทุกอย่างดูชัดเจนแจ่มใสมาก ขณะที่จิตเพ่งอยู่ในสิ่งนั้นๆ หากไม่คิดในเรื่องอื่นๆ ภาพก็จะปรากฏเด่นชัด
       จากนั้นครูเพ็ญบอกให้ทุกคนค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วแจกกระดาษให้คนละแผ่น และให้ต่างคนต่างเขียนว่า ใครเห็นอะไรกันบ้าง

      “แปลกที่สุด…เราสามคนบรรยายภาพที่เห็นได้เหมือนกันหมด!!!”

      เป็นภาพของผู้หญิงสาวสวยในชุดขาว...ลักษณะละม้ายคล้าย พระโพธิสัตว์กวนอิม ยืนเด่นตระหง่าน โดยมีน้ำตกล้อมรอบ ท่าทางลักษณะของท่านกำลังให้พร... ลักษณะมือของท่านจะอยู่ตรงหน้าท้อง กุมกันอยู่ ยืนอยู่ในท่าสงบ จากนั้นยกมือขวาขึ้นในลักษณะให้พร

       ครูเพ็ญ ถามพวกเราทุกคน..ว่าแอบดูกันหรือเปล่า?..พวกเราต่างส่ายหน้า

      คราวนี้ครูเพ็ญบอกให้นั่งสมาธิอีก แล้วย้อนนึกถึงภาพตัวเองว่า ตั้งแต่เกิดอยู่ในครรภ์
ทำอะไรมาบ้าง

      “ขณะนั้นผมเห็นภาพตัวเองอยู่ในร่างของหญิงสาวใส่ชุดไทย ราวสมัยรัชกาลที่ 5”
      จากนั้นครู ก็บอกให้ถอนสมาธิแล้วให้เขียนบรรยายสิ่งที่เห็นอีกครั้ง...ครั้งนี้ปรากฏว่า เด็กทั้งสามคน เห็นภาพแตกต่างกัน!!

      ทันใดนั้น...จู่ๆ ก็เกิดปรากฏการณ์แปลกขึ้นมาทันที คือ ฝนเริ่มตกหนัก ฟ้าร้องสนั่นไปทั่ว

      ครูเพ็ญ หันมาพูดว่า “พวกเธอทั้งสามคน ถูกเบื้องบนกำหนดให้มาที่ห้อง 138 เพื่อปฏิบัติธรรม”

      “พอฝนหยุดตก ผมมีรู้สึกว่า ภายในจิตตนค่อยๆ มีความสว่างผุดขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่เบามากๆ ซึ่งตัวผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ครูเพ็ญ กำชับว่า ให้พวกเรากลับมาที่ห้อง 138 อีก เพื่อเรียนรู้ธรรมเพิ่มเติม เมื่อกลับถึงบ้าน ก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาม๊าฟังทันที”

      อาม๊ายิ้มแล้วบอกว่า “พระมาโปรดแล้ว จงตั้งใจปฏิบัติให้ดีล่ะลูก”

      พอวันรุ่งขึ้นพุทก็รีบมาที่ห้อง 138  ตอนแรกคิดว่า ห้องนี้เป็นแค่ห้องปฏิบัติธรรมเพียงอย่างเดียว  แต่ปรากฏว่า มีการสอนโยคะด้วย ก็เลยเรียนควบคู่กันไป

       “เราปฏิบัติซ้ำเช่นเดิม แต่คราวนี้ครูเพ็ญให้พูดกับอดีตของตัวเรา โดยนั่งกำหนดจิตถึงตัวเราในอดีต และถามถึงที่มาของตัวเอง ผมจะเห็นภาพตัวเองในอดีตมองหน้ากลับมา แต่ไม่โต้ตอบใดๆ ภาพที่เห็นจะเปลี่ยนไปบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเห็นตัวเองเป็นผู้หญิง

      จากนั้น ครูเพ็ญ ก็ให้ผมดูเจ้ากรรมนายเวรของชาติที่แล้วของตัวเองว่า เราไปทำอะไรให้กับเขา และให้เราแผ่เมตตาไปให้กับเขา

      วิธีดูเจ้ากรรมนายเวร ครูเพ็ญจะวางมือทั้งสองในแนวขนาน ส่วนผมหงายมือในแนวขนาน มือของครูเพ็ญจะวางประกบบนมือของผม แล้วให้ระลึกตามว่า แผ่เมตตาให้กับเจ้ากรรมนายเวรของชาติที่แล้วว่า ชาติที่แล้วเราไปทำอะไรกับเขา”

      ภาพที่ปรากฏนั้น เป็นผู้ชายหลายคนในอิริยาบถต่างๆ กันไป บ้างยืน บ้างนั่งร้องไห้ ลักษณะคล้ายเป็นทาส ตอนนั้นพุทรู้สึกว่า ตนเองเป็นเจ้านายของคนพวกนั้น แล้วไปเฆี่ยนตีเขา แต่พุทจับความรู้สึกของทาสพวกนั้นได้ว่า พวกเขาไม่ได้มีอารมณ์อาฆาตแค้นตน

      พุทอธิบายว่า ช่วงต้นๆ รู้สึกขนลุกเหมือนมีอะไรพัดผ่านตัวไป ต่อเมื่อฝึกบ่อยๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกเป็นปกติ และไม่เกิดความกลัวใดๆ อีกต่อไป

      บทเรียนต่อไป ครูเพ็ญ ก็ให้พุทกำหนดลูกแก้วในตัวเอง โดยให้จิตเลื่อนลูกแก้วไปตามแขนตามมือ สุดท้ายให้กระจายไปหมดทั่วร่างกาย แขน ขา เท้า หัว หน้าอก  มือ ไหล่ เป็นดวงแก้วหลายๆ ดวง แก้วที่กำหนดจะเป็นดวงใสๆ จนสามารถมองทะลุผ่านได้ แล้วระลึกว่า ดวงแก้วแต่ละดวง คือ กรรมของเราในแต่ละชาติ

      จากนั้นให้รวมลูกแก้วทั้งหมดเป็นดวงเดียวกันที่หน้าอก แล้วแผ่เมตตา  พอเสร็จ ครูเพ็ญให้ทุกคนค่อยๆ เอามือไปไว้ที่หน้าอก แล้วค่อยหยิบลูกแก้วตรงหน้าออก แล้วผายมือปล่อยออกไป ตอนนี้จะรู้สึกโล่งที่หน้าอกทันที แล้วก็ให้เริ่มกำหนดจิตดูร่างกายตนเองโดยดูอวัยวะต่างๆ ให้ละเอียดขึ้นๆ

       “ เหตุที่ดูก็เพื่อให้ระลึกเสมอว่า ตัวเราเกิดมาก็มีเพียงเท่านี้เอง ร่างกายนับวันก็มีแต่จะเสื่อมโทรม รอวันตายจะมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วทุกคนก็มีเหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราทุกคนไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกัน จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่น”

5. พุทแยกจิตไปนรก


      เมื่อสามารถแยกจิตได้อย่างคล่องตัว พุทก็อยากลองไปเที่ยวนรกเหมือนเพื่อนๆ จึงได้ตั้งจิตขอไปเที่ยวนรกบ้าง และเมื่อรู้ว่า ดาวได้เล่านรกขุมที่ 1 กับ 2 แล้ว พุทก็ขอพาผมไปท่องนรกขุมที่ 3 กับ 4 ต่อ

      “นรกขุมที่3 มีชื่อว่า อสินข นรก สำหรับโทษนรกขุมนี้เป็นโทษอทินนาทาน (ลักทรัพย์) แต่ก่อนที่จะโดนรับโทษในนรกขุมนี้ ก็ต้องไปชดใช้กรรมในนรกขุมใหญ่มาก่อน แล้วค่อยย้อนมารับใช้กรรมในนรกขุมที่ 3

       ในบริเวณขอบเขตโดยรอบนั้น มีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ มีสุนัขตัวใหญ่คล้ายๆ ช้างคอยลงโทษสัตว์นรก โดยการไล่กัดกินจนไม่เหลือซาก หากสัตว์นรกพยายามหนีรอด หรือหลบเลี่ยงการลงทัณฑ์ แล้วดันไปเจอนายนิริยบาลเข้า ท่านก็จะเอาหอกมากระหน่ำทิ่มแทง หรือเอาค้อนมาทุบฟาด หมานรกก็รุมกัดกินจนเหลือแต่กระดูก สุดแสนจะทรมานอย่างที่สุด ถึงแม้จะทรมานขนาดไหน แต่ก็จะไม่มีวันตาย คำว่า ตายไม่มีในขุมนรก เนื้อที่ถูกกันกินจนเหลือแต่กระดูก สักพักเนื้อหนังก็จะพูนขึ้นมาดังเดิม แล้วสัตว์ตนนั้น ก็จะพยายามกระเสือกกระสนวิ่งหนีต่อไป วนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกว่าจะชดใช้กรรมที่ตนเองก่อจนหมดสิ้น

      สัตว์นรกที่อยู่ในแดนนี้ คือ สัตว์นรกที่เคยก่อกรรม เรื่องขโมยทรัพย์สินของคนอื่น คดโกง จี้ ปล้น เรี่ยไรเงินเพื่อทำบุญ แต่กลับเอาไปใช้เป็นส่วนตัว แต่ถ้าโกงของสงฆ์ก็ต้องลงไปอเวจีมหานรก ทั้งหมดนั่นเป็นนรกขุมที่ 3 ครับ” พุทหยิบน้ำขึ้นมาจิบ

      ผมเสริม “นี่ถ้าทุกคนมีโอกาสได้เห็นความทุกข์ทรมานในนรกอย่างที่เห็น ก็คงไม่มีใครกล้าทำชั่วเลยนะครับ”

      พุทถอนใจ “ไม่แน่หรอกครับพี่ ผมเห็นพระบางองค์ รู้ทุกอย่างว่า ทำชั่วแบบไหน แล้วจะได้ผลกรรมอะไร แต่แล้วก็ยังคงมัวเมาในกิเลส ตัณหา ราคะ ในที่สุดทุกอย่าง ก็ต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนเองทำไว้”
      คำพูดของพุทเล่นเอาผมปาดเหงื่อ

      พุทเห็นหน้าผมแล้วอมยิ้ม “อยากเที่ยวขุมอื่นอีกไหมพี่”
      ผมออกอาการอึกอัก

       “ถึงพี่ไม่อยากฟังผมก็จะเล่าให้พี่ฟังอยู่ดีละครับ” พุทยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาว “ผมจะพาพี่ไปนรกขุมที่ 4 นรกขุมนี้มีชื่อว่า ตามโพทนะนรก”

      นรกขุมนี้มีกะทะหม้อใบใหญ่มหึมาเป็นเหล็กแดง ภายในหม้อจะมีน้ำทองแดง ใส่ไว้จนเต็มเปี่ยม นายนิริยบาลท่านจะคอยเคี่ยวน้ำทองแดงที่ร้อนระอุ สัตว์นรกที่ได้รับโทษทัณฑ์ในนรกขุมนี้ เป็นเพราะตอนที่เป็นมนุษย์ชอบดื่มสุราและสิ่งเสพติดต่างๆ

      นรกขุมนี้จะมีไฟแดงฉานลุกโชนอยู่ตลอดเวลา พื้นข้างล่างเป็นพื้นเหล็กแดง เหล็กแดง ที่ถูกเผาด้วยไฟจนแดงฉาน นายนิริยบาลท่านจะจับสัตว์นรกทั้งหมดนอนลงบนแผ่นเหล็กที่มี ไฟเผาโชน ถ้าสัตว์นรกขัดขืนไม่ยอมทำตาม ท่านก็จะใช้หอก ขวาน หรือไม่ก็เป็นหอก ซัดกระหน่ำโดยไม่ต้องยั้ง

      ตามเนื้อตัวของพวกสัตว์นรกจะโดนไฟเผาจนไหม้เกรียม  แม้จะร้องกระวนกระวาย ทุรนทุรายขนาดไหน ก็อย่าหวังเลยว่า จะได้รับการเห็นใจ หรือสงสารเลยแม้แต่น้อย

      เมื่อบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายนอนลงไปแล้ว ท่านจะเอาคีมงัดปากพวกสัตว์นรก ให้อ้าออก แล้วกรอกด้วยน้ำทองแดงอันร้อนระอุ  เมื่อน้ำทองแดงถูกกรอกเข้าไปในปาก ทะลุเข้าลำคอ ไหลผ่านอก และท้อง อวัยวะทุกส่วนถูกลวกเผาจนพังยับเยินจนร่างกายสลาย...แล้วร่างกายก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม นายนิริยบาลท่านก็จะลงโทษทัณฑ์ แบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าเวรกรรมจะหมดสิ้น

      “นี่ถ้าเพื่อนพี่มาได้ยินเข้ามีหวัง เลิกกินเหล้ากันแน่ เฮ้อ..ทำไมมันถึงได้ทุกข์ ทรมานขนาดนี้” ผมเสริม

       พุทสวน “เวลาทำไม่รู้จักยั้งคิด แล้วจะไปโทษใครละครับ ท่านนริยบาล ท่านก็ทำไปตามหน้าที่ จริงๆ แล้วท่านใจดีมากๆ ไม่ได้โหดร้ายอะไรเลย ท่านจึงถือว่า เป็นผู้ที่เสียสละมากๆ”

      ผมเสริมข้อสงสัย “พุทได้อะไรบ้าง หลังจากที่ปฏิบัติธรรมที่ ห้อง 138”

      พุทยิ้มรับก่อนตอบ “โดยหลักให้รักตนเองให้มากๆ ไม่ติดไม่หลงผู้อื่น ให้ปฏิบัติอยู่กับตัวเอง ให้นั่งสมาธิ มีสติอยู่เสมอ อย่าติดตรงอื่น เพราะจะเป็นกิเลส หัวใจของการปฏิบัติ คือ การละใน รัก โลภ โกรธ หลง เป้าหมายที่วาง คือ ปรารถนาให้ทุกคนปฏิบัติธรรม ให้ศึกษาการปฏิบัติธรรมในทุกขณะจิต ก็ขอให้นั่งสมาธิ อย่ามัวเมาในสิ่งอบายมุข จะทำให้จิตใจผ่องใสโล่ง ไม่งมงายต่อเรื่องต่างๆ เป้าหมายอยากให้ตนเองบรรลุในธรรม ให้มากกว่านี้จะได้นำความรู้ ไปเผยแพร่ยังบุคคลอื่น ต่อไป”

      คำพูดของพุท... ทำให้ผมถึงกับอึ้ง..เพราะเปรียบเทียบกับตัวเอง ในวัยเดียวกับเขา ...ผมยังไม่รู้ภาษีภาษาอะไรเลย ใช้ชีวิตหายใจทิ้งไปวันๆ

      จู่ๆ มีเสียงตะโกนของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งขัดจังหวะการสนทนา  ดาวกับพุทหันมายิ้ม กว้างกับผม และบอกว่าจะแนะนำให้รู้จักเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
      เธอ คือ นางฟ้ากลับชาติมาเกิด!


6. นางฟ้ากลับมาจุติ


      เด็กคนที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเรา เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาเรียบร้อยมากๆ อายุราว15  ดาวแนะนำให้ผมรู้จักเธอๆ ชื่อว่า น้ำ

      แล้วทำไมเด็กพวกนี้ถึงเรียกเธอว่า นางฟ้าล่ะ!

      คำตอบกำลังจะปรากฏให้คุณ และผมได้รู้...

      หลังจากแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ และบอกเล่าถึงจุดประสงค์การมาของผมแล้ว น้ำยินดีให้ความร่วมมือ เพราะเธอคิดว่า ถ้าทุกคนฟังเรื่องนี้ แล้วหันมาร่วมใจกันปฏิบัติธรรม มากขึ้นเท่าไร...โลกของเราที่วุ่นวาย ก็จะมีแต่สันติสุข

      ดาว และพุท ที่ได้ยินเหตุผลของน้ำ ถึงกับปรบมือ น้ำดูเขินๆ เล็กน้อย จึงหันไปหยิก รุ่นน้องทั้งสองคน

      “ยอมแล้วครับพี่..นี่พี่จะทำบุญ หรือทำบาปกันแน่..ดูซิเขียวไปหมดแล้ว” พุทเสียงสั่น  “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ทะลึ่งกับพี่ล่ะ”

      น้ำหันมาขอโทษที่ทำให้เสียเวลา แต่ผมกลับรู้ว่า เด็กๆ พวกนี้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง ประสบการณ์ทางธรรมของพวกเขาแล้วล่ะก็  เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่ม เด็กสาวธรรมดา ที่ยังมีความซุกซนตามวัย

      ความจริงน้ำไม่ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้แล้ว..เพราะต้องย้ายตามพ่อไปอยู่ที่เชียงใหม่ ช่วงนี้กลับมาเยี่ยมคุณย่าที่กรุงเทพฯ พอดีเลยถือโอกาสมากราบครูเพ็ญ

      เรื่องการปฏิบัติธรรม น้ำเริ่มเริ่มต้นแต่อยู่ม.1 มีครูอยู่ท่านหนึ่ง ชื่อว่า ครูวิทย์ ท่านได้เรียกน้ำไปพบ และแนะนำว่า น้ำ เป็นคนกล้าคิด กล้าพูด แต่ไม่กล้าแสดงออก เพื่อให้น้ำพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น จึงแนะให้น้ำมาฝึกเรียนโยคะที่ห้อง 138

      พุทชูมือขัดจังหวะ “พี่น้ำ เล่าตอนที่เพิ่งเกิดมาก่อนซิครับ..น่าสนุกดีออก”
      น้ำพยักหน้ารับ แล้วเริ่มเล่าเรื่องอัศจรรย์ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้รู้สึกว่า เป็นเรื่องแปลกสำหรับเธอแต่อย่างใด

      “ตอนที่น้ำแรกเกิดเป็นทารก... ภาพแรกที่ได้เห็น...คือ ภาพก้อนเมฆขนาดใหญ่มหึมา ลักษณะขาวเหมือนสำลี มีแสงสว่างเป็นประกาย ระหว่างตรงกลางของก้อนเมฆจะมีช่องโหว่เป็น โพรงมีลำแสงส่องผ่านรอดลงมา

       สักพักพวกเพื่อนๆ ของน้ำ-เป็นเด็กทารก ก็จะค่อยๆ คลานตามกันลงมา ตามลำแสง... บริเวณใกล้ๆ จะมีแท่นบัลลังก์... บนบัลลังก์ ปรากฏภาพผู้ใหญ่แต่งองค์ทรงเครื่อง เหมือนในหนังจักรๆ วงศ์ๆ นั่งห้อยขาคอยจดบัญชีรายชื่อของบุคคลที่กำลังคลาน ลงมาทีละคนๆ จนหมดรายการ...ภาพทั้งหมดติดตาน้ำมาก่อนที่จะเห็นหน้าพ่อแม่ในโลก มนุษย์เสียอีก”

      แต่เรื่องราวปาฎิหาริย์ในชีวิตของน้ำ ยังไม่หมด! มีเรื่องที่แปลกกว่านั้น

      น้ำ ย้อนเวลาไปสมัยป.1 เธอเป็นคนชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ...แต่กลับว่ายน้ำไม่เป็น พยายามฝึกเรียนเท่าไรก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที

      วันหนึ่ง ในชั่วโมงเรียนว่ายน้ำ ขณะที่ครูเป่านกหวีดหมดเวลาเรียน น้ำซึ่งตอนนั้นเป็น เด็กตัวเล็กมากๆ ก็ตะกายตัวขึ้นจากสระน้ำ เพื่อไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ

      แต่ขณะที่กำลังวิ่ง กลับสะดุดขาเพื่อนคนหนึ่งเข้า ทำให้ตัวเธอหัวทิ่มคะมำกลับลงไปในสระน้ำอีกครั้ง...

      ...ตูม!!! …

      แทนที่เธอจะรู้สึกว่าตัวเอง กำลังจมน้ำ! และพยายามตะเกียกตะกายไม่ให้ตัวเองจมน้ำ แต่กลับพบว่า ตนเองกำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิที่ใต้ก้นสระ และอยู่ในท่านั้นราว 5 นาที

      ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนมีคนมาฉุดตัวน้ำเอาไว้ไม่ให้ลอยตัวขึ้น...แต่ที่แปลกกว่า ก็คือ เธอหายใจในน้ำได้อย่างสบาย! เป็นปกติทุกอย่าง ทั้งที่เป็นคนว่ายน้ำไม่เป็นด้วย!!!

      น้ำพยายามหันไปมองรอบๆ ตัว เพื่อดูว่า จะมีใครมาช่วยเธอหรือไม่ แต่ก็ไม่ใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยเธอเลย

      ในที่สุด น้ำตัดสินใจรวมพลังทั้งหมด ถีบตัวขึ้นไปบนผิวน้ำ...

      สำเร็จ!

      เมื่อทุกคนเห็นน้ำโผล่ขึ้นมาจากก้นสระ ก็ต่างพากันตกใจ และประหลาดมาก คือ ไม่มีใครสักคนเห็นว่า น้ำตกลงไปในสระน้ำเลย แม้แต่เพื่อนที่น้ำไปสะดุดขาเข้า

      ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา น้ำก็ไม่กล้าอยู่ใกล้สระน้ำอีกเลย...

      ฟังมาถึงตรงนี้ ผมเริ่มเชื่อมากขึ้นแล้วละครับว่า เด็กกลุ่มนี้มีอะไรที่น่าค้นหาจริงๆ!!  “จากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้น จนกระทั่งได้มารู้จักห้อง 138 อย่างที่บอกว่า ครูเพ็ญ เป็นครูสอนโยคะ ในขณะเดียวกันก็สอนธรรมะไปด้วย น้ำเข้าไปพบครูเพ็ญ แล้วบอกว่าอยากเรียนสมาธิเหมือนคนอื่น แต่ครูก็บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา”
     
      จนในที่สุด เรื่องปาฎิหาริย์ ที่อธิบายไม่ได้ ก็เกิดขึ้นอีก เหมือนเป็นสัญญาณบอกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่น้ำจะได้รู้จักตัวตน ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

      วันนั้น...เป็นช่วงม.1 เทอมปลาย น้ำกำลังอาบน้ำอยู่ จู่ๆ ก็มีผ้าเหลืองสะบัดผ่านหน้ามา พรึ่บ!
      จากนั้นก็เริ่มมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้โชยมา ทั้งๆ ที่ความจริงที่บ้านของน้ำ ไม่มีดอกไม้ปลูก หรือตกแต่งอยู่เลย จะมีก็แค่ต้นมะยมเพียงต้นเดียว

      แล้วกลิ่นหอมลอยมาจากไหน? แล้วผ้าเหลืองที่สะบัดพรึ่บ ผ่านมาหน้า คืออะไร?
      น้ำเริ่มรู้สึกกลัวมาก..แต่ก็ต้องฝืนใจเดินมาแต่งตัว

      แต่...เรื่องไม่จบลงเพียงเท่านี้ กลับหนักกว่าเก่าเสียอีก!
      น้ำเห็นคนสวมสุดสีขาวๆ หน้าตาคล้ายตัวเอง...แต่งองค์ทรงเครื่อง และเหนือศรีษะสวมใส่ชฏาสูง
      และพบจุดสีแดง ปรากฏอยู่กลางหน้าผากของตนเอง!
      น้ำตัวสั่นเทา รีบแต่งตัวและออกจากบ้าน เพื่อไปพบครูเพ็ญที่โรงเรียนทันที

      เมื่อครูเพ็ญ ทราบเรื่อง ก็ถามว่า จำใบหน้าของบุคคลผู้นั้นได้ไหม น้ำตอบว่า คลับคล้ายตัวเองมากๆ
      หลังจากครูเพ็ญใช้ญาณตรวจสอบ จึงบอกกับน้ำว่า...บุคคลเห็นนั้น คือ นางฟ้า ที่เป็นกายละเอียดของน้ำนั่นเอง...

      ครูเพ็ญ แนะว่า ต่อแต่นี้ไปน้ำต้องหัดนั่งสมาธิ
      วันนั้นน้ำเริ่มจากกำหนดระลึกถึง ท้องฟ้า แผ่นน้ำ ลมในกาย ลมนอกกาย กำหนดตัวเราให้ไปอยู่กลางแผ่นน้ำ ปล่อยตัวให้ว่างเปล่า กำหนดลมในกาย ดูสิ่งที่อยู่ในตัวเรา มีอะไรบ้าง ตับ ไต ไส้พุง...วันนี้กินข้าวเข้าไป อาหารเก่า อาหารใหม่ยังอยู่ไหม... อุจจาระ ปัสสาวะ..ยังมีอยู่ไหมในร่างกาย... ลมนอกกายเป็นยังไง.. รู้สึกยังไง

      จากนั้นให้เปลี่ยนการพิจารณา..โดยไปดูที่กระดูกที่ค่อยผุพังไปทีละน้อยๆ จนกลายเป็น ผุยผง จากนั้นกายของเราก็เริ่มค่อยๆ กลายเป็นสีแดง..แล้วทำตัวให้เบาเหมือนไม่มีอะไรในร่างกาย... โดยใช้สมาธิมาเป็นตัวกำหนดความคิด ทุกอย่าง เราจะทำอะไรให้ได้ดีต้องนั่งสมาธิ อาศัยทำอยู่สม่ำเสมอ ระลึกเสมอว่า ร่างกายของเรา ไม่มีอะไรอยู่ในกาย แรกๆ ก็ยังรู้สึกหนักเป็นปกติ แต่พอทำบ่อยๆ ขึ้น ก็จะค่อยๆ เบาในที่สุด

      สรุปง่ายๆ ว่า เหมือนเราสั่งสัญชาตญาณให้ได้รับรู้ถึงความต้องการของจิด เช่น เรามีอาการป่วย จิตก็ทำการสั่งให้ร่างกายกลับแข็งแรง ด้วยความมั่นใจที่แน่วแน่ ร่างกาย ของเราก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม

8. น้ำฝึกวิชาบนสวรรค์


      “น้ำต้องไปฝึกโยคะด้วยตัวเองกับเบื้องบนนะ”

      เป็นคำตอบของครูเพ็ญ จากความสงสัยของน้ำว่า ทำไมถึงไม่สอนโยคะให้กับเธอเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ

      ครูบอกเคล็ดลับว่า ทำจิตให้ว่าง แล้วจะรู้ในทุกสิ่งที่เราต้องการ.. แต่ห้ามรู้สึกอยาก... เพราะความอยากจะทำให้จิตไม่นิ่ง...

      คนทั่วไปเวลาทำจิตให้นิ่งเข้าจะใช้วิธีนั่งสมาธิ แต่สำหรับตัวน้ำนั้นไม่ชอบนั่งสมาธิ เพราะจะทำให้เมื่อย ก็เลยเลือกที่จะนอนท่าศพแทน

      ลักษณะของการนอนท่าศพ คือ นอนหงายหน้า แขนขนาบข้าง มือทั้งสองหงายขึ้น ทำตัวให้สบายที่สุด ในจิตกำหนดขอพรบารมีจากพระพุทธเจ้าทุกๆ ครั้ง...โดยอธิษฐานว่า

      ขอให้สิ่งที่จิตของน้ำได้ไปสัมผัสนั้น...ขอให้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จริงทั้งสิ้น... ไม่มีอำนาจมารใดๆ มาปลอมแปลง หรือกลั่นแกล้ง ทำให้เกิดอุปทานการปรุงแต่ง...นิมิตที่ได้สัมผัส..ขอให้ปรากฏเด่นชัดทั้งภาพ และเสียงสิ่งใดที่ไม่จริงก็ขอให้หายไปมลายสิ้น ไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น

       เมื่อจิตดิ่งถึงสมาธิ น้ำก็เริ่มถอดจิตขึ้นไปบนสวรรค์ เพื่อเรียนรู้หลักวิชาโยคะ สถานที่ที่ขึ้นไปเรียนบนสวรรค์จะเป็นลานกว้าง มีศาลา มีน้ำตก เป็นทุ่งโล่งสำหรับสอนโยคะ ภาพที่ปรากฏ คือ ตัวเรากำลังแสดงท่าโยคะ ที่ดูแล้วมีลักษณะท่าที่ยากมากๆ เพราะเป็นท่าอันตราย

      แรกๆ ก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้ หรือไม่? แต่เมื่อลองทำดู ก็สามารถทำได้!

      ในบางครั้งที่จิตใจเธอรู้สึกไม่สบาย ก็จะทำสมาธิขึ้นไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ก็จะบอกว่า ถ้าไม่สบายใจก็ยังไม่ต้องฝึก ให้ไปนั่งสมาธิแช่ในบ่อน้ำ จิตจะได้สบาย

      บ่อน้ำที่ลงไปแช่แตกต่างจากน้ำในโลกมนุษย์อย่างสิ้นเชิง มีความเย็นชื่นใจมาก พอจิตเริ่มสบาย ก็จะทำการเรียนโยคะต่อ ทุกครั้งเมื่อได้เรียนโยคะจากเบื้องบน น้ำก็จะนำความรู้ทั้งหมดมาสอนให้กับน้องๆ

      การถอดจิต ไม่ใช่เพียงเพื่อการเรียนโยคะบนสวรรค์แต่เพียงอย่างเดียว...น้ำ ยังหาโอกาสไปเรียนรู้ธรรมจากความทุกข์เวทนาของพวกสัตว์นรก

      “ไปสวรรค์แล้วก็ต้องเคยไปนรกมาแล้วใช่ไหมครับ”

      น้ำพยักหน้า และเมื่อดาวกับพุท บอกว่า ได้พาผมไปถึงนรกขุมที่ 4 แล้ว น้ำจึงเริ่มเล่านรกขุมต่อไปให้ผมฟังต่อทันที นั่นคือ นรกขุมที่ 5 หรือเรียกชื่อว่า อาโยคุฬะนรก

      นรกขุมนี้จะมีก้อนเหล็กแดงลุกโชนเกลื่อนกลาดเต็มพื้น ก้อนเหล็กจะกลมๆ คล้ายๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ พวกที่ชอบบอกบุญเรี่ยไรคน เพื่อสร้างโบสถ์..สร้างศาลา..  สร้างถนน..สร้างส้วม..สร้างกุฏิ..สร้างหอสวดมนต์  แต่พอได้เงินมาก็ยักยอกเอาเงินไปใช้เอง

      สิ่งที่สัตว์นรกจะได้รับ คือ การกินก้อนเหล็กแดง อันร้อนระอุ นรกขุมนี้จะมี วิธีการล่อให้สัตว์นรกอยากที่จะกินก้อนเหล็กแดงด้วยความเต็มใจ เพราะภาพของก้อนเหล็ก แดง จะถูกเนรมิตให้กลายเป็นก้อนเนื้อนุ่มส่งกลิ่นหอม.. ทำให้เหล่าสัตว์นรกต่างรุมทึ้ง แย่งกันกินด้วยความหิวโหย...

      เมื่อเอาก้อนเหล็กแดงใส่ปาก ความร้อนในก้อนเหล็กจะระอุร้อน จนทำให้ท้องไส้ พุพอง บริเวณพื้นที่ที่วิ่งลงไป ก็จะมีไฟพวยพุ่งออกมาตลอดเวลา พื้นข้างล่างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชน ก้อนเหล็กที่กินเข้าไป ก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดง โชน เมื่อกินเข้าไป ถึงปาก ปากพัง  ถึงคอ  คอพัง  ถึงอก  อกพัง  ถึงท้อง  ท้องพัง  ล้มลงถึงแก่ความตาย...แต่ความจริงยังไม่ตาย  มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว   สักครู่ก็ปรากฏว่า มีการทรงกายตามเดิม เมื่อมีการทรงกายตามเดิม ก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด เพราะกฎของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง 4  ทิศ

      ทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นกฎของกรรม  สัตว์นรกที่อยู่ในนรกขุมนี้ ส่วนใหญ่คือ นักบุญ ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร  สามเณรี  อุบาสก  อุบาสิกา และแถมชีและเถรด้วย

      “เห็นไหม? นรกไม่เคยแบ่งชั้นวรรณะ จะสูงต่ำ ดำ ขาว เป็นผู้สูงศักดิ์ หรือไพร่ธรรมดา ขุมนรกไม่เคยเกี่ยง ขอให้มีความชั่วติดตัวมา รับรองต้อนรับเต็มที่เลยคะ...”  น้ำจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบเลย...ผมรู้สึกขนลุกซู่เลยทีเดียว

       เวลาที่น้ำเห็นทุกข์เวทนาของสัตว์...นรก ก็ทำให้เกิดข้อคิด ข้อธรรมว่า ความจริงแล้ว คนที่ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น ก็เปรียบเหมือนตกนรกทั้งเป็น... เราจึงต้องระวังจิต ระวังใจกับ แบบทดสอบที่เกิดขึ้นจากชีวิตประจำวัน แล้วแก้ปัญหาด้วยปัญญา ซึ่งปัญญาจะเกิดได้ ต้องมาจากการปฏิบัติธรรม

      เมื่อเผชิญปัญหาไม่ว่าเล็ก หรือใหญ่ ให้หยุด... แล้วตั้งสติ พิจารณาถึงเหตุ ที่มา ของปัญหา... ดูความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ แล้วทุกๆ ครั้ง เมื่อเราสามารถผ่านการ ทดสอบได้ ท่านจึงจะเฉลยในภายหลัง

       การเรียนธรรมไม่มีคำว่าสิ้นสุด... เรียนรู้ได้ทุกโอกาส...ทุกสถานที่...ทุกเวลา
ให้ระลึกเสมอว่า เราต้องสำรวจตัวเองตลอดเวลาว่า คิดพูด ทำ สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว มีข้อคิด คือ ก่อนที่เราจะไปดูใคร ให้ดูตัวเองเสียก่อน ก่อนที่เราจะไปว่าใคร ให้ว่าตัวเองเสียก่อน... เพราะตราบใดถ้าตัวเรายังมีข้อเสียอยู่ ก็จงเร่งปรับปรุงตัวเอง...สรุปง่ายๆ คือ เอาเวลาที่ใช้ไปตำหนิคนอื่น ให้เอามาใช้ในการด่าตัวเองแทนว่า มีความเลวอะไรบ้าง

      เสียงโทรศัพท์มือถือของพุทดังขึ้น เหมือนจะเป็นการปิดท้ายบทสนทนาของผมและน้ำ
ไปในตัว

      เมื่อวางสาย พุท ก็หันมาให้เพื่อนทายว่า ใครเป็นคนโทรมา ดาวและน้ำ กำหนดจิตนิ่งสักพัก ก็เอ่ยชื่อหนึ่งออกมาพร้อมกัน “วิน”

      ส่วนตัวผมก็นั่งอึ้งกับ...อื้ม! ไม่รู้ว่า จะนิยามสิ่งที่ผมได้ยิน ได้เห็นในวันนี้ว่า อะไรดี!
      ดาวหันมาบอกว่า อีกสักครู่ผมจะได้คุย กับเด็กที่มีความสามารถพิเศษอีกคน...
      เด็กคนนี้มีตาทิพย์ เห็นวิญญาณได้!!

9. เด็กชายวิน...คนตาทิพย์


      วิน เป็นเด็กชายอายุ 16 ปี รูปร่างสันทัด ผิวเนื้อดำแดง หน้าตาคมเข้ม...

      หลังจากที่วินได้รู้ว่า ผมต้องการอะไรจากเขาๆ ก็ยิ้มและพูดน้ำเสียงใสกังวานว่า

      “อนุโมทนาบุญในจิตอันเป็นกุศลของพี่นะครับ พวกผมทุกคนยินดี ให้ความร่วมมือทุกอย่าง ถ้าสิ่งใดจะทำให้คนในสังคมสนใจที่จะปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น”

      คำพูดของวินทำให้ผมรู้สึกชื่นใจแทนผู้เป็นบุพการีที่มีอภิชาตบุตรที่คิดดี..ทำดี..ยังประโยชน์ทั้งส่วนตน และผู้อื่น

      “ถ้าวินพร้อมก็เชิญเลยครับ”

      วินมาจากครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เกิด อาศัยอยู่กับยาย จึงถูกสอนให้ รู้จักคิดเอง และช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เล็ก สมัยเด็กๆ วินค่อนข้างเกเร ไม่สนใจเรียน เพราะรู้สึกว่า การเรียนเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ

      แต่สิ่งที่แปลก ก็คือ วินมีพรสวรรค์ในเรื่องผู้หญิงอย่างมาก

      “ผมสังเกตตัวเองมาตั้งแต่เด็ก จะไปที่ไหนก็ตาม เพศตรงข้ามจะให้ความสนใจ เป็นพิเศษ”
      ทุกคนต่างหัวเราะครืน พร้อมพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ขุนแผนน้อย”

      วินทำหน้าจริงจัง “นี่อย่าเพิ่งขัดได้ไหม...ความจริงก็ไม่ชอบหรอก...แต่ช่วยไม่ได้คนมันน่ารัก..ฮิฮิ”

      ทุกคนปล่อยฮา...ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายกับเรื่องปาฏิหาริย์ของพวกเขาลงไปได้บ้าง

      แต่เสน่ห์ในเพศตรงข้ามของวิน ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ปริศนานี้จะไขแน่นอน!! แต่อดใจกันอีกสักนิดครับ เพราะมีเรื่องประหลาดอีกเรื่องมาเล่าก่อน

      “หนูมีตาทิพย์นะ รู้ตัวหรือเปล่า?”

      นั่นเป็นคำทักทายคำแรก และครั้งแรกที่วินได้พบกับครูเพ็ญ

      “ตอนนั้นผมเพิ่งจะ เริ่มเข้าม.1 ขณะนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ...ครูเพ็ญเดินผ่านหน้าผม ไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เดินย้อนกลับมาหยุดตรงหน้าผม แล้วทักประโยคนั้นขึ้นมา”

      พอได้ยิน วินนึกในใจว่า ครูเพ็ญทราบได้อย่างไร เพราะตั้งแต่อยู่ป. 5 วินก็เริ่มเห็น วิญญาณเป็นประจำ!
      ลักษณะที่เห็นก็คล้ายกับคนทั่วไป เพียงแต่เท้าจะลอยเหนือพื้น!!

      แต่ตอนนั้นวิน ก็ยังไม่ไปฝึกธรรมะกับครูเพ็ญ กระทั่งขึ้น ม. 2 เพื่อนชื่อเชน ชวนให้มาปฎิบัติธรรมที่ห้อง 138 ซึ่งทำให้เขาได้พบกับครูเพ็ญอีกครั้ง และการปฎิบัติธรรม อย่างจริงจังก็เริ่มต้นขึ้นที่ห้องนี้

      “ครูบอกให้ผมกำหนดลูกแก้วเป็นสีต่างๆ เหมือนเราเล่นกสิณ จากนั้นก็พิจารณาร่างกาย โดยใช้วิชาขอบฟ้สมาประกอบ เน้นที่การมองตัวเรา แล้วค่อยๆ เคลื่อนลมสู่ฐาน7 เกิดเปล่งรัศมีออกมาในกายในจุดที่เล็กที่สุด”

      วิธีนี้ทำให้วิน ได้ล่วงรู้ภพชาติ และปริศนาว่า เหตุใดเขาจึง มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม

      กุญแจธรรมะ ได้ไขให้เขาพบกับคำตอบของปริศนาที่ซ่อนอยู่มานาน


การฝึกฐาน 7 ที่เด็กห้อง 138 ได้ทำการฝึกฝนนั้น วิธีการคล้ายคลึงกับวิชาธรรมกาย แต่เป็นวิธีการที่เบื้องบน ประทานให้ สรุปง่ายๆก็คือ วิชาธรรมกาย เหมือนวิชาของจักรวาล เป็นวิธีฝึกการเคลื่อนจิต ให้เปลี่ยนไปตามจุดต่างๆ ตั้งแต่ฐานแรก จนถึงฐานสุดท้าย เมื่อจิตเริ่มเข้าสู่สภาวะแห่งการสงบนิ่ง ก็จะสามารถสัมผัสกับนิมิตต่างๆได้โดยง่าย และเสมือนจริงที่สุด ที่สำคัญที่สุด ผู้ฝึกต้องปราศจากความอยาก เพราะความอยาก คือ กิเลส ที่จะเป็นตัวตัดทอนบารมี ทำให้เกิดการปรุงแต่ง (ฟุ้งซ่าน คิดไปเอง)

10. ครุฑจำแลง


      ในนิมิต วินเห็นตนเองอยู่ทวีปแห่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!
      ...กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ รายล้อมไปด้วยข้าราชบริพาร แต่ร่างนั้นๆ ไม่เหมือนร่างกายในปัจจุบันของเขา
      ร่างนั้นกำยำล่ำสัน มีปีกสีขาวใหญ่มาก ในจิตบอกกับตัวเองว่า
      นี่คือ พญาครุฑ!
      ตอนนั้นภายในจิตมีความคิดที่ชัดเจนมากว่า ตนเองนั้นเก่งกว่าผู้ใด ไม่ว่าจะในโลก มนุษย์ หรือสรวงสวรรค์

      วันถัดมา..เหมือนครูเพ็ญรู้วาระจิตของวิน ท่านได้ชวนเขาและเพื่อนๆ ไปถวาย สังฆทานให้แก่พระปฏิบัติรูปหนึ่ง
      พระรูปนั้น เมตตาสอนพระกัมฐานให้กับพวกเรา ท่านกล่าวว่า ให้พวกเราพยายาม ทำจิตให้นิ่ง ท่านจะพาไปกราบองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า วิธีปฏิบัติ คือ เริ่มจากการเข้าฐาน7 แล้วค่อยๆ เพ่ง
      สักพักภาพค่อยๆ ปรากฏ และให้อธิษฐานจิตขอไปกราบนมัสการ องค์สมเด็จสัมมา สัมพุทธเจ้าบนสวรรค์ชั้นสูงสุด
      ทันใดก็มีแสงเป็นทางเดินออกไป วินขึ้นไปพบกับพระองค์
      “ท่านมีเมตตา มีแสงสว่างทุกหนทุกแห่ง ไม่เหมือนในรูปภาพ ท่านเหมือนคนตัวใหญ่ มากๆ แต่ผิวพรรณดั่งอัญมณี ไม่มีเส้นผม นั่งอยู่บนบัลลังก์กลีบดอกบัว เป็นแก้ว จีวรเป็นเพชร ใบหน้าคล้ายแขก เนื้อเต็ม ดูสมส่วน ลักษณะคล้ายพระพุทธชินราช ผมรีบเข้าไปกราบ พระพุทธองค์”
      ท่านตรัสว่า.. “มาได้ยังไงลูกเอ๋ย จากนั้นอธิษฐานลงไปในสวรรค์ชั้นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอบมีเจดีย์ใหญ่ๆ 5 เจดีย์ เจดีย์อยู่ตรงกลาง จะมีขนาดใหญ่ที่สุด บรรจุทุกอย่างไว้ พระเขี้ยวแก้วของทุกพระองค์ จากนั้นผมก็กลับมาโลกมนุษย์...ระยะเวลาบนสวรรค์แม้จะดูสั้น แต่ความจริงในโลกมนุษย์ จะใช้เวลาที่นานมากๆ เปรียบเทียบง่ายๆบนสวรรค์ไม่กี่นาที แต่ในโลกจะกลายเป็นหลายชั่วโมง”

      เมื่อกลับมาถึงบ้าน วินลองหัดปฏิบัติด้วยตัวเอง คราวนี้ตั้งใจที่จะไปเมืองนรก เนื่องจากอยากรู้ถึงผลลัพธ์ว่า เมื่อจิตใจเป็นมาร จะได้รับผลอะไร เมื่อลงไปในนรกแล้ว
      “จิตเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากมานะ การถือเนื้อถือตน...มันค่อยๆ สะสมในตัวผมเรื่อยๆ ชุดที่ใส่ตอนแรกเป็นสีขาวดุจอัญมณี.... ตอนนี้กลับกลายเป็นสีค่อนข้างดำ”
       เหตุที่มีมานะเพราะสามารถไปไหนต่อไหนได้ พอตั้งสติได้ก็เลยค่อยๆ ถอยออกมา เพราะถ้าถลำลึกไปแล้ว จะแย่กว่านี้
      ในนรกคนที่ทำชั่วที่สุด คือ คนที่ทำให้คนจำนวนมาก ทำชั่วตาม ผลที่ได้รับ คือ จะต้องตกนรกชั้นที่ 18
      สภาพบรรยากาศร้อนระอุเหมือนอยู่ในดวงอาทิตย์ ทุกอย่างเต็มไปด้วยเปลวเพลิง แต่ต้องทรมานอยู่ในนั้นชั่วกัป ชั่วกัลป์ เมื่อเห็นสภาพทั้งหมด วินก็ถอยกลับมา
      “ผมตัดสินใจที่จะอธิษฐานปิดไม่อยากเห็นสิ่งใดๆ เพราะกลัวเรื่องทิฐิมานะ จะเข้ามาครอบงำ เนื่องจากตัวผมเองมีฤทธิ์เดช เรียกลมฝนได้ อยู่โลกมนุษย์ก็ควรที่ จะต้องเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่เทพหรือเทวดา เรืองฤทธ์-เดชต่างๆ นานา ไม่อยากเห็น มันสูญเสียความเป็นตัวเอง”

11. อธิษฐานปิดอิทธิฤทธิ์


      “เมื่อก่อน ผมมีฤทธิ์เดช เรียกลม เรียกฝนได้”
      ตอนช่วงเรียนอยู่ม.2 วินได้กลับไปชลบุรี เป็นช่วงวันหยุดเดือนเมษายน อากาศร้อน จัดมาก วินได้กำหนดจิตมองลูกแก้วในกาย แล้วกำหนดกายทิพย์ของตัวเอง ให้นั่งอยู่ในลูกแก้ว อีกที เมื่อจิตนิ่งได้ที่ ก็ตั้งจิตกำหนดให้ฝนตกหนักที่สุด เท่าที่จะหนักได้
      ไม่ถึง 10 นาที ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส..ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นสายฝน...เทกระหน่ำลงมา พร้อมกับแรงลมที่พัดกระหน่ำดังพายุ!
      พออธิษฐานให้ฝนหยุดตก..ฝนก็หยุดให้ดั่งใจ...
      วิธีเรียกลมก็แบบเดียวกัน...ถ้าแดดส่องร้อนมากๆ ก็กำหนดให้ลมพัดเมฆให้ไป บดบังแสงอาทิตย์
      แรกๆ ก็รู้จักตื่นเต้น..แต่พอทำบ่อยเข้าก็รู้สึกว่า เป็นหนทางแห่งความเสื่อม ที่ไปติดกับฤทธิ์กับเดช..และปัญญาทางธรรมไม่ได้เจริญขึ้นแม้แต่น้อย..ก็เลยอธิษฐานปิด ขอเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร...แต่เขาก็บอกว่า สามารถเรียกฤทธิ์ กลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่คิดจะทำ...
      “มันเป็นสิ่งไร้สาระถ้าเป็นผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ไม่ควรพึงกระทำ”

      ผมอดไม่ได้ที่จะต้องถามสิ่งที่คาใจ  “อะไรที่ทำให้วินเคยเป็นพญาครุฑมาก่อน ไม่ใช่แค่คิดไปเอง”
      วินยิ้มมุมปาก “ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรม  ผมจะมีความรู้สึกเหมือนมีคนคอยมองเรา ตลอดเวลา พอกำหนดจิตก็รู้ว่าเป็นใคร ผมเห็นบุคคลผู้นั้น”
       เป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ มีปีกมหึมา  ใหญ่กว่าคนประมาณ 3 เท่าระดับความสูง  ขาก็แข็งแกร่งมีเกล็ดเป็นนกสีทอง มีสร้อยสังวาลย์เพชรระยิบระยับ
       ส่วนหัวเป็นนก มีปากเป็นจงอย ค่อนข้างเหมือนในจิตรกรรมฝาผนัง  ความงดงามของท่านอ่อนช้อยมาก แต่ในรูปร่างมีความกำยำ  กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ มือติดกับปีก  มือคือปีกสีขาว แต่มีเพชรระยิบระยับ  กายที่เห็นเนื้อออกสีทอง
      “ในจิตของเราบอกว่า บุคคลผู้นี้จะคอยให้คำปรึกษาเราได้”
      ด้วยความสงสัย วินจึงเล่าให้ครูเพ็ญฟัง ครูเพ็ญก็บอกว่า ลองดูดีๆ ว่านั่นคือใคร โดยดูด้วยวิธีใช้แผ่นน้ำ ขอบฟ้า พอทำหลายๆ ครั้ง จนชำนาญ จิตนิ่งเร็วขึ้น ก็เริ่ม กำหนดจิตนึกถึงตัวท่าน พอกำหนดจิตถึง ก็เสียงตอบกลับมาว่า
      “เราคือท่าน...แล้วท่านก็คือเรา แค่เราอยู่กันละภพ คนละที่ พอนานๆ ไปเราเหมือนคนๆ เดียวกัน  มีอะไรเราก็ปรึกษากัน”
      เมื่อออกจากสมาธิ วินก็เล่าให้ครูเพ็ญฟังในสิ่งที่สัมผัส ครูเพ็ญ พอได้ยินดังนั้นก็นิ่งเฉย  สักพักก็เสริมขึ้นว่า เวลามีปัญหาอะไร ให้ศึกษาเอง รู้จักการแก้ ทุกปัญหามีทางแก้  ค่อยๆ คิดก็แก้ได้เอง ปฏิบัติต่อไปนี่เป็นแค่สิ่งหนึ่งที่มาลอง
     
      “หลักการปฏิบัติจริงๆ ที่ผมได้เรียนรู้  คือคำว่า หยุด ปล่อยวางจากทุกสรรพสิ่ง หรือใช้คำพูดให้ง่ายๆ ก็คือ ทุกสิ่งในโลกล้วนว่างเปล่า”
      พุทที่นั่งนิ่งฟัง จู่ๆ ยิงคำถามใส่วินบ้าง “แล้วเวลาที่คุยกับพญาครุฑคุยเรื่องอะไรกัน”
      วินตอบ “ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องธรรมะ  ถามว่า ทำจิตอย่างไรให้รู้จักความว่างเปล่า  ท่านบอกว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้น ก็ต้องดับไป”
      “แล้วพญาครุฑมีชื่อเรียกหรือเปล่า” พุทช่วยผมซัก “ไม่อยากรู้ชื่อไม่ถามเพราะคิดว่า ไม่มีประโยชน์อะไร ต่างคนต่างเรียกตัวเองว่าท่าน” วินตอบทันทีแล้วยังย้ำอีกว่า
       “แต่รู้ถึงกำเนิดที่มา เมื่อคราวที่ท่านจุติบนสวรรค์ เทวดาทุกองค์ต่างยกมือไหว้ พระรัศมีเจิดจรัสดุจพระเพลิงเป็นลักษณะลำแสงสีเหลือง ที่แผ่กระจายจากตัวท่าน เหมือนเป็นเทพมาจุติ แต่อิทธิฤทธิ์เหนือเทพทุกองค์ หลังจากนั้นท่านหยิ่งทะนงในตนเอง  ท่านย้อนให้ดูว่า ท่านไปสู้กับพระอิศวรหรือนารายณ์  สู้เท่าไรก็ไม่ชนะ ท่านบอกกับพระนารายณ์ว่า เราจะสู้ไปทำไม ในเมื่ออิทธิฤทธิ์ เราก็ต้านทานกันได้
      พระนารายณ์บอกว่า งั้นขอให้ท่านมาเป็นพาหนะของเรา
      ท่านครุฑก็บอกว่า  เราขออยู่เหนือท่าน ไม่ว่าจะนั่งบัลลังก์ หรือทุกที่อยู่ที่ธง  หรือเหนือบัลลังก์ขึ้นไป เวลานั่งพระนารายณ์จะนั่งต่ำกว่าครุฑ
      ตอนท้ายท่านมาสำนึกตัวว่า  มีฤทธิ์ไปทำไม  มีฤทธิ์ไปเพื่อทำลายคนอื่นหรือ  แล้วก็หันมาปฏิบัติธรรมจนสำเร็จมรรคผล มีลูกหลานเป็นครุฑมากมาย
       ตอนนั้นภรรยาท่านก็เป็นครุฑเหมือนกัน มีนางอัปสรด้วย  ตัวท่านก็ไปเนรมิต เหมือนกับภูเขา แต่ปลายเขาอยู่ด้านล่าง คล้ายปิรามิดหัวกลับ แต่ลอยอยู่ในอากาศ  อยู่ข้างบนสวรรค์  สร้างเขาขึ้นมาเพื่อเป็นที่ประทับของท่าน  เป็นที่ของครุฑบางส่วน  บางส่วนอยู่ที่เขาไกรลาศข้างล่าง
      หน้าที่ของครุฑ คือ คอยดูแลมนุษย์และสัตว์ทั้งมวล ให้คุณบ้าง ให้โทษบ้าง  ถ้าคุณทำความดีท่านก็ต้องตอบแทน  เหมือนคำๆ หนึ่งของพระพุทธเจ้าที่สอนบอกว่า
      ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ช่วยอย่างไรที่ไม่ผิดกฎของกรรม ในยามคับขัน ให้มีความเชื่อมั่นในการทำความดี
      สิ่งมีชีวิตควรจะยึดหลัก 3 หลักไว้ให้มั่น หลักแรก คือ ความรัก  หลักที่สอง คือ มิตรภาพ  หลักที่สาม คือ ความเชื่อมั่นในการทำความดี
      ถ้าคนเราทุกคนมี 3 อย่างนี้  แน่นอนคือ ขึ้นสวรรค์  ทั้ง 3 อย่างนี้เหมือนขั้นสุดท้าย พอเรารู้เรื่องทุกอย่าง มีฤทธิ์ทุกอย่างก็จะเบื่อ”
      วินบอกว่า เมื่อเขาตั้งจิตอยากเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ก็เลยได้รับพร 3 ประการนี้ มาจากการทำสมาธิ และได้เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งจากการปฎิบัติ..
      ความรัก คือ รักทุกสิ่ง  สิ่งที่ควรจะรักมากที่สุด คือ รักตัวเราเอง  ความรักกับความเมตตาไม่แตกต่างกัน  หากเรารักเขา ก็หมายถึง เรามีเมตตาแก่เขา  เราต้องรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รักในสรรพสัตว์ ไม่ควรแบ่งแยกเขาแยกเรา หรือเลือกปฏิบัติต่อใครต่างกัน
      และเมื่อเรารู้จักคำว่า รัก  เราก็จะรู้ว่า ควรจะรักอย่างไร โดยเฉพาะรักที่ทำให้เกิดความทุกข์
      มิตรภาพ เป็นสิ่งที่ยั่งยืนมากๆ  แต่สำคัญรองจากความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
ระหว่างสัตว์ด้วยกัน มิตรภาพจะทำให้เกิดความสุข
      เชื่อมั่นในความดี  ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าความดีที่เรากระทำไว้ทั้งเจตนา และไม่เจตนา จะไม่มีวันสิ้นสูญ คุณความความดีที่ตัวเรากระทำไว้จะมาหนุนนำให้เราประสบแต่ความสุข ความเจริญ หรือในยามที่ประสบปัญหา ตัวเราก็จะแคล้วคลาดผ่อนหนักเป็นเบา...
      “แล้วเวลาที่ปฏิบัติธรรม เคยพบกับสิ่งที่น่ากลัวบ้างหรือเปล่า” ผมถาม
      วินพยักหน้า “เคยเห็นภาพผี เลยถามพญาครุฑว่า ผีคืออะไร ทำไมต้องมีภาพ หลอกหลอน ทำไมพวกนี้ช่างน่าสงสาร ทำไมไม่ช่วยเขาล่ะ
      ท่านก็ให้ผมช่วยผีพวกนั้น ด้วยการแผ่จิตใช้วิชาขอบฟ้า  แผ่นน้ำ  แผ่นดิน  เหมือนเราแผ่จิตออกไป อุทิศส่วนกุศลไปให้
      ผีทุกตนที่ได้รับส่วนกุศล ก็จะกลายเป็นเทพบ้างหรือว่าใส่ชุดขาวสวยสง่า มีเพชรรอบกาย ณ บัดดล ทุกดวงจิตต่างพากันขอบคุณโดยการยกมือไหว้ ช่วงนั้นทำอยู่ประมาณ 3 คืน โดยใช้วิธีเรียกผีมาครั้งละ 10,000  ตน
      วิธีเรียกคือ กำหนดจิตอธิฐานให้มารวมกัน แล้วแผ่ทีเดียว 10,000  ตน  รอพระจันทร์เต็มดวง เหมือนเป็นวันนัดหมาย เป็นนิมิตที่ดีด้วย พอมาวันที่ 3 ผมบอกว่า วันสุดท้าย วันนั้นมาร่วมเกือบแสนตน
      แต่ละครั้งจะมีผีที่กลายเป็นเทพ อย่างที่มาเป็นประจำมีอยู่ 9 ตน เป็นผีระดับสูง มีฤทธิ์มีเดช ตอนนี้กลายเป็นเทวดาเป็นองค์ไปแล้ว ผมก็บอกกับท่านว่า ให้มาช่วยสอนต่อจากผมเถอะ แล้วก็ถ่ายทอดวิชาการทำจิตให้ว่าง และการช่วยเหลือผีตนอื่นให้ทั้ง 9 องค์
      ตอนนี้ทั้ง 9 ตนทำต่อไป ก็คิดว่า หมดหน้าที่เราแล้ว
      ผมบอกตัวเองเสมอว่า  ให้ใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นจริง  ดูร่างกายเราตอนนี้ ตัวเราไม่มีมีปีก เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น  แค่รู้ว่า วันนี้มีสติ  วันนี้เราควรจะทำอย่างไร ทำอย่างไรให้ฤทธิ์เดชไม่มี  ทำอย่างไรจะได้อยู่เฉยๆ ก็อธิษฐานจิตเป็นได้จริง  เราไม่มีแล้วนะ เหมือนเราเก็บไว้อีกที่หนึ่ง  แต่ก็สามารถหยิบ เอามาใช้เมื่อไรก็ได้”
      “ก่อนอธิษฐานปิด ได้ฝึกกสินไฟ  กสินน้ำ  การเพ่งเป็นส่วนหนึ่ง  เราต้องดึงพลังจากแสง จากที่มาเป็นไฟ  ดึงเข้าร่างกาย  เข้าสู่ฐานที่ 7 พยายามสั่งว่า  เราจะทำอย่างไรให้ใช้ไฟได้  ใช้รักษาคนอื่นได้  ท่านครุฑทำให้ดู ผ่านร่าง ผมรักษานิ้วชี้ตัวเองที่เป็นแผลไม่หายสักทีเป็นตุ่มๆ ขึ้นเยอะและคันมาก
      ผมใช้ฝ่ามือทาบไว้  ส่งพลังมาจากฐาน 7 แล้วก็รักษาประมาณ 1 วัน  หายสนิทเลย  ตอนส่งพลังจะรู้สึกร้อนๆ นิดหนึ่ง  เป็นครั้งเดียวที่ใช้กสิน หลังจากนั้นไม่ใช้อีกเลย  มันเหมือนมีอำนาจเกินคนปกติ”

      วินตัดสินใจไม่ใช้พลังพิเศษอีกต่อไป ก็เพราะเห็นว่า ทุกสิ่งมีกรรม ใครทำอย่างไรก็ได้ อย่างนั้น ถ้าเราไปฆ่าเขาวันนั้น วันหนึ่งเขาก็ฆ่าเราคืน  จึงควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตาม วิบากของแต่ละคน
       “พี่อยากให้วินย้ำเรื่องการเดินจิต หน่อยครับ” วินตอบรับ
       “การเดินจิต  คือแผ่นน้ำ ขอบฟ้า แผ่นดิน เดินธรรมกาย คือ การเดินจุดตามร่างกาย  แต่อุปสรรคอีกทางหนึ่ง คือ เรื่องทางโลก  ผู้หญิง แฟน ทุกอย่างเป็นอุปสรรคหมด ในการปฏิบัติพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่รักน่ะ บางครั้งทะเลาะกันบ้าง  ทะเลาะก็เป็นอุปสรรคแล้ว
      เราต้องรู้เท่าทันในกฎข้อที่ 3 ความเชื่อมั่นในการปฏิบัติ  ความเชื่อมั่นในการทำความดี  ก็ช่วยอีกทางหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมฝังใจมาก เนื่องจากถูกทดสอบทางธรรม ช่วงนั้นเรามีความทุกข์ทะเลาะกับแม่...แฟนก็ทิ้ง ทุกอย่างทำไมถึงไม่มีคนเข้าใจเราเลย  ก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาเลยว่า
      คุณรักตัวคุณมากแค่ไหน?
      คุณมีมิตรภาพกับตัวคุณมากแค่ไหน?
      แล้วคุณมีความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหรือยัง?
      มีคำๆ หนึ่งที่พญาครุฑท่านสอนผมว่า พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ความรู้ของท่าน เป็นเพียงแค่ใบไม้ใบหนึ่งในกำมือ ยังมีใบไม้อีกมากมายในป่า  ดังนั้นเมื่อมีโอกาสจงเร่งศึกษา หาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด จงอย่าประมาทเป็นอันขาด

      เมื่อการสนทนาของผมและวินจบลง สิ่งที่ผมประทับใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องฤทธิ์ เรื่องเดชของเด็กคนนี้ แต่กลับเป็นธรรมะที่อาบล้นอยู่เต็มหัวใจของเด็กตัวเล็กๆ ที่สามารถเอาชนะอวิชชาของตนเองได้อย่างงดงาม ไม่ยึดติดกับอภิญญาที่ได้ และพยายามที่จะหาเส้นทางหลุดพ้นจากทุกข์ ตามแก่นแท้คำสอนของพระพุทธองค์

      และ...เช่นเดิม ดาวเป็นสื่อกลางที่นำผมไปพบกับเด็กสาวอีกคน...
      นกเป็นกินรีกลับชาติมาเกิด!

12. บททดสอบทางธรรมของนก


      ผมเคยได้ยินผ่านๆ เรื่องผลของณาน ว่ากันว่า ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิจิตแน่วนิ่งจนได้ณาน จะสามารถเห็นสิ่งที่ละเอียด เกินกว่าที่ตาเนื้อ ตาหนังของคนธรรมดาจะเห็นได้ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องซับซ้อนเกินกว่า คนธรรมดาจะหยั่งรู้ได้ ดังเช่นพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เป็นเรื่องอจินไตย* ( เรื่องอจินไตยมี 4 เรื่อง 1 พุทธวิสัย พุทธคุณของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีมากเพียงใด 2 ณานวิสัย ผลของญาณมีอานุภาพเพียงใด 3 กรรมวิสัย ผลของกรรมจะให้ผลอย่างไร และเมื่อใด 4 โลกวิสัย โลกและสัตว์โลกกำเนิดขึ้นอย่างไร) คือ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเกินกว่าสามัญสำนึกของสามัญชนจะหาคำตอบได้ แต่วันนี้ผมกลับได้ฟังจากปากของเด็กๆ หลายคน และตอนนี้ นก ก็จะเป็นอีกคนที่รอเล่าเรื่องให้พวกเราฟังอยู่

      ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นเด็กผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกับน้องๆ กลุ่มนี้กำลังเดินมาสบทบ กับพวกเรา
      นกเป็นเด็กกำพร้า พอเกิดได้ 7 วัน ย่าก็เอาตัวไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัด มีนิสัยใจร้อนไม่เรียบร้อย พอเริ่มเข้าป.3 แม่ก็ไปรับตัวเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เริ่มพบครูเพ็ญ ตอนเรียน ม. 4 เพราะท่านเป็นครูประจำชั้น ชอบสอนสมาธิให้กับเด็กนักเรียน

      “ครูเพ็ญจะมีวิธีสอนที่ง่ายๆ คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้จิตเราสงบ การสอนสมาธิให้อยู่กับตัวเอง ให้ดูตัวเอง เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเรา วันหนึ่งเราคิดอะไรบ้าง วันหนึ่งเราทำอะไร ลงไป สามารถคิดได้ไหมว่า ปัญหาคืออะไร ดูให้ลึกลงไปให้ลึกที่สุดว่า เรามีข้อเสียอะไรบ้าง ในจิต อย่าโกหกตัวเอง

      ในการทำตอนแรกก็มีปัญหามาก เนื่องจากเป็นคนใจร้อน ทำให้อึดอัดอยู่นิ่งไม่ได้ เพราะนิสัยเหมือนผู้ชาย ครูเพ็ญ ใช้วิธีแก้โดยการสอนโยคะ เข้ามาประกอบในการปฏิบัติธรรม พอฝึกโยคะได้สักพัก สมาธิก็เริ่มมา เพราะการฝึกโยคะเหมือนเป็นการฝึกให้ได้หยุดนิ่งอยู่กับตน...

      เช่น บางท่าเป็นท่าทรงตัว จิตต้องนิ่ง ฝึกโยคะทุกอย่างต้องสงบ ให้ลดความมีทิฐิ ความใจร้อน ทีละนิด ทีละนิด ความเย็น เริ่มซึมซาบเข้ามาในจิต จนในที่สุด กลายเป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยรับรู้ถึงความรู้สึกที่ว่า โกรธ แค้น”

      น้ำชูมือ “เราอยากรู้ตอนที่นกถูกทดสอบทางธรรม”

      นกตาโต “แหม..อายจัง..ไม่อยากเล่าเลย”

      “เป็นเรื่องจริงคะ ถ้าเรามุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมเมื่อไหร่.. เราก็จะยิ่งถูกทดสอบ สภาวะจิตมากเท่านั้น”

      ทุกคนพร้อมใจกันประสานเสียง”ใช่”

      นกถอนใจลึกๆ อีกครั้งก่อนเริ่ม “ช่วงแรก จะฝึกปฏิบัติอย่างเข้ม จิตอยู่นิ่งเป็นสมาธิดีมาก จนกระทั่งเทอมปลายของ ม.5 นกเริ่มหลุดออกไป จากการปฏิบัติธรรม ช่วงนั้นกิจกรรมข้างนอกเยอะกว่าข้างใน
      เริ่มมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนชะตากำหนดว่า ต้องการให้รู้จักว่า ความรักเป็นอย่างไร? ความทุกข์เป็นอย่างไร? เราต้องแก้อย่างไรให้หลุดพ้น

      ครูเพ็ญ ท่านรู้ปัญหา จึงพยายามสอนว่า รู้อะไรก็ไม่ดีเท่าเรียนรู้ด้วยตัวเอง... ถ้าใครมาบอกก็ไม่ได้ผล เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวของเราเอง

      นับจากนั้น เราก็เริ่มดูตัวเอง

      รู้ว่ารักเป็นอย่างไร?

      ทุกข์นั้นเป็นอย่างไร?

      ทุกข์ คือ ตัวที่เรากำหนดรู้ เราต้องหาวิธีแก้?

      ถ้าเรารู้ตัว มันจะกระจ่างเลย ไม่ต้องไปถามอะไรกับใคร เมื่อรู้ด้วยตนเองแล้ว ก็ต้องตั้งสติใหม่ เราควรแก้อย่างไร เริ่มจากตรงไหน...

      วิธีแก้ปัญหา อันดับแรก เราต้องสงบ นิ่ง แล้วค่อยเอาปัญหาเข้ามาพิจารณา เหตุที่แท้จริงเริ่มจากตรงไหน เราคอยแก้ไป จากนั้นพอเราตัดได้ ทุกข์ก็จะหลุดไป

      คราวนี้เมื่อเรารู้แล้ว อะไรจะเข้ามา เราก็ป้องกันได้ เพราะเรารู้จักเป็นอย่างดีแล้วว่า มันจะเข้ามาอย่างไร แก้อย่างไร กลายเป็นว่า เรารู้วิธีป้องกันไปโดยปริยาย

       เวลาฝึกสมาธิอยู่กับตัวเอง กำหนดไปที่ฐาน 7  มีลูกแก้วรองรับด้วยดอกบัว กำหนดจิตให้อยู่ตรงนั้น กำหนดกายเราให้ใสสะอาดเหมือนลูกแก้วนั้น กลมกลืนกับลูกแก้วนั้น

      บรรยากาศธรรมชาติก็ใช้วิธีขอบฟ้า ที่ครูเพ็ญสอน ยืนที่ตรงไหนให้ดูกายเรา ลมที่พัดผ่านกาย ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจบริสุทธิ์ ใสสะอาดให้มากที่สุด นิ่ง ขาวสะอาด ใส โปร่ง มันจะไม่มีจิตปรุงแต่ง

            “ครั้งต่อมา ครูเพ็ญ สอนทำสมาธิ โดยการเรียนวิชาสับมือ รายละเอียดรอให้พี่เจอ ครูเพ็ญแล้วให้ท่านสอนก็แล้วกันนะคะ”

 เบื้องต้น นกอธิบายว่า การสับมือ คือ การกำหนดท่าทางแบบหนึ่ง เหมือนเสริมสร้าง สมาธิ จิตต้องนิ่ง รู้ว่ากายเรา ทำอะไรอยู่ จิตเราต้องเป็นผู้สั่ง เมื่อใช้วิชาสับมือจนจิตนิ่ง เป็นสมาธิ

      ครูเพ็ญก็พาไปเที่ยวทางสมาธิ ตอนนั้นนกไปเที่ยวกันเป็นกลุ่ม ครูเพ็ญ ท่านพาพวกเรา ไปสถานที่ที่หนึ่ง

      เป็นน้ำตกที่มีสายน้ำไหลสวยงามจับตาจับใจมาก

      ที่นั่น นกได้พบกับตัวตนของตนเอง!

      “เห็นกินรีตนหนึ่ง กำลังเล่นน้ำตก แต่งกายสวยงาม มีปีก สวมมงกุฎ ไว้ผมยาว รูปร่างงดงามมาก หน้าตาก็ไม่เหมือนเราเลย แต่จิตของเราบอกตัวเองว่า นี่คือ เรา ภาพที่เห็นเหมือนกับเรากำลังดูภาพทางทีวี ไม่มีการพูดจาโต้ตอบกัน จากนั้นก็ถอนกลับมา ไม่ได้เข้าสู่การปฎิบัติอะไรมากสักเท่าไร”

      วันถัดมาครูเพ็ญ เริ่มสอนวิธีการควบคุมจิตไม่ให้วอกแวกไปที่อื่น โดยแนะนำให้ตั้งจิต อยู่ที่ฐาน 7 (เหนือสะดือ 1 นิ้ว ) กำหนดมีดอกบัว 1  ดอก และลูกแก้ว 1 ลูก วางอยู่บนดอกบัว ให้เราดูเข้าไปในลูกแก้วว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง โดยใช้จิตสั่งขึ้นมา ฝึกได้ฐาน 7 แล้ว  ก็ตั้งที่ฐาน 7 เลย

      “ถ้าจิตไม่นิ่งพอ เราจะเห็นลูกแก้ว  เห็นสี  เสียง  เห็นภาพต่างๆ  คือ จิตเรายังคงปรุงแต่งอยู่  นกทำไปเรื่อยๆ ลูกแก้วใสไม่เห็นอะไรเลย นั่นคือ นิ่งสุดแล้ว เอาลูกแก้วเป็นเกณฑ์ถึงจิตเราว่านิ่งมากน้อยขนาดไหน”

       ยิ่งใสเท่าไรแสดงว่า จิตเราคงที่มากเท่านั้น  ดอกบัวเป็นฐานรอง ถ้าจิตไม่นิ่ง ดอกบัวจะหมุนไปเรื่อยๆ

      ถ้ามีสิ่งปรุงแต่ง ในลูกแก้วก็จะหมุนไปเรื่อยเช่นกัน

      เมื่อเราเริ่มมีสติ  เริ่มไม่ปรุงแต่งเมื่อไร  ทั้งสองสิ่งก็จะหมุนช้า  ช้าลง ช้าลงเรื่อยๆ แล้วก็หยุดนิ่งใสไปเลย และสิ่งที่เราปรุงแต่งเป็นสีนี้ ก็จะใสกลมกลืนกับลูกแก้วไปเลย

      ใสแล้วก็ดูไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเรานิ่ง เราก็สามารถเห็นอะไรที่ละเอียด และไปพบกับสิ่งที่ตาเนื้อเห็นไม่ได้

      และจากการปฎิบัตินี้เอง ทำให้นก..ได้พบกับเทพประจำกายของตนเอง ซึ่งก็คือ กินรีที่เห็นในนิมิตนั่นเอง เธอมีชื่อแสนเพราะว่า น้ำดอกไม้

      แต่กว่าที่นก จะควบคุมสิ่งเร้นลับที่แฝงอยู่ในกายของตนเองได้ ก็เล่นเอานกย่ำแย่เหมือนกัน!!

13. จิตสอนจิต


      “นกสามารถสื่อกับเทพประตัวได้ค่ะ”

      ครูเพ็ญเป็นผู้เปิดสมาธิให้นก ด้วยวิชาแผ่นน้ำ ขอบฟ้า ขอบูชาอาจารย์

      “ช่วง 2 อาทิตย์แรกๆ ครูให้ น้ำดอกไม้ เทพประจำตัว พูดออกมาจากตัวหนู แต่ก็ยังพูดไม่ได้ทันที ต่อมาหนูก็พยายามนั่งสมาธิ เพื่อประสานใจ ประสานจิตกับเขา แล้วเขาก็ค่อยๆ ออกมาเรื่อยๆ”

      นกเล่าว่า ครั้งที่ประสานจิตได้ ก็ไม่รู้วิธีการควบคุม จึงเกิดเรื่อง!!

      “ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในอาการหลับ...ไม่รู้สติเลยว่า ทำอะไรลงไปบ้าง เรากลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมคล้ายเด็กไปเลย เห็นอะไรในห้องก็จับเล่น จับขว้างไปหมด น้ำดอกไม้สามารถเข้าฐานใจของเราได้ ก็เลยควบคุมจิตเราได้ ส่วนนกเองก็ไม่สามารถ ควบคุมจิตเขาได้...น้ำดอกไม้ที่ใช้จิตแฝงในร่างเรา...เล่นจนห้องเละไปหมด  แต่ไม่ยอม พูดอะไรกับใคร...

      ไม่ยอมออกจากร่างของนก...จนในที่สุดครูเพ็ญต้องมาไล่  บังคับขู่เข็ญ...โดยคาดโทษ ว่า ถ้าน้ำดอกไม้ไม่ยอมไป...จะถูกจับขังกรงทอง เขาก็ยอมออกโดยดี”

      พอน้ำดอกไม้ถอนออกจากร่าง นกก็แทบล้มทั้งยืน เพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก ...พอวันรุ่งขึ้นในช่วงเย็นๆ นกก็แวะมาที่ห้อง 138 อีกครั้ง เพื่อให้ครูเพ็ญสอนวิธีควบคุม น้ำดอกไม้

      “ครูขอให้เรานั่งสมาธิ จิตของเทพอยู่แค่นี้  เราต้องทำจิตของเราให้เสมอก่อน  ทำแผ่นน้ำ ขอบฟ้า  เรานิ่ง  เขานิ่ง  โดยการดูลูกแก้วระหว่างกัน  มันจะเกิดภาพ  เราอยู่ในจิตของเรา  เราเห็นตัวเขา เริ่มเห็นจิต เริ่มเห็นตัวตนของเขาแล้ว”

      และน้ำ ก็ได้เห็นตัวตนของน้ำดอกไม้ เทพประจำตัวของเธอ!

      เป็นเด็กใส่ชุดไทยธรรมดาอายุราว 4-5 ขวบ เกล้ามวยผมขึ้น มีมงกุฎสวมทับ พาดสไบข้างเดียวสีออกทองๆ ขาวๆ

      “ช่วงแรกไม่คุยกันเลย  เขามองจิตเรา เราก็มองเขา ต่างคนต่างจดจ้อง  ครูเพ็ญ คอยเป็นล่ามสื่อสารให้

      หลังจากนั้นก็รู้ว่า ที่เขามาอยู่กับเรา ก็เหมือนเขามาทำแบบทดสอบทางธรรม ร่วมกับนกด้วย มาปฏิบัติธรรมร่วมกับนก อย่างเรื่องเรียนเรื่องกิจกรรม ปกตินกเป็นคนใจร้อน น้ำดอกไม้สามารถควบคุมให้นกหายใจร้อนได้

      กรณีถ้าเขาสามารถเกลี้ยกล่อมนกให้หายใจร้อนได้ เขาก็จะสอบผ่าน นกก็จะสอบผ่านเหมือนกัน  แต่ถ้าตกก็ตกด้วยกัน เป็นการฝึกจิตตัวเอง  สามารถขึ้นมาอีกระดับหนึ่งในการปฏิบัติธรรม  สื่อกันทุกวัน กว่าจะชัดเจนประมาณเดือน  สามารถคุมซึ่งกันและกันได้”
     
       ผมถามว่า น้ำดอกไม้ คือใคร?

      “เขาก็คือเทพ ที่มาจากแดนกินรี เขาคือจิตหนึ่งของนก เป็นกายละเอียดของนก ที่อยู่บนสวรรค์ กายมนุษย์ก็มาอยู่ในนี้ ปฏิบัติกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าสามารถยกจิต ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จิตของเขาสุดแล้ว ส่วนของนกยังต้องแสวงหาความรู้อยู่ เขาได้มาเรียนรู้โลกมนุษย์ เขากระจ่างแจ้งในสัจธรรมยิ่งขึ้นว่า โลกมนุษย์เป็นอย่างไร?  ความทุกข์เป็นอย่างไร?  เทพไม่รู้จักความทุกข์ ความสุข กิเลส ตัณหา จึงมาเรียนรู้ พร้อมไปกับนก

      และเขาก็จะสอนเราทางจิตด้วย  พอเราอยากเขาก็เริ่มเตือนเราแล้วว่า ามีกิเลสแล้วนะ  เราสามารถคุยกับเขาทางจิตได้โดยไม่ต้องออกเสียงปาก  จิตเขา จิตเราประสานกันแล้ว  นกมั่นใจว่า ไม่ได้ปรุงแต่ง เป็นน้ำดอกไม้จริงๆ คือ เรานิ่ง เราเห็นเขา”

14. นกซ่าส์...หวิดดับในนรก


      เรื่องราวของนก ยังไม่จบ! ความอยากรู้ ใคร่เห็น เกินกว่าพลังบุญของตนเอง ทำให้นกได้รับประสบการณ์ที่ต้องจดจำไปจนตาย และได้รู้ว่าเทพประจำตัวของนกไม่ได้ มีองค์เดียว?...และผู้ปฏิบัติธรรมต้องถูกเบื้องต้นทดสอบคืออะไร?

      ด้วยความซนและความดื้อของนก ก็เกิดความคิดที่จะชวนน้ำดอกไม้ไปเที่ยวนรก น้ำดอกไม้พยายามเตือนว่า อย่าไปเลย แต่นกไม่ยอมเชื่อ จะขอดื้อไปเที่ยวนรกให้ได้ เมื่อไม่มีทางเลือกน้ำดอกไม้จึงต้องยอมตามใจนก

      นกตั้งสมาธิรวมจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วพุ่งจิตสู่นรกภูมิ พลันบังเกิดลำแสงสีขาวส่อง เป็นช่อง จิตของเราทั้งสองพุ่งผ่านเข้าไป เบื้องหน้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความมืดสลัว นกกับน้ำดอกไม้ ยืนลังเลคิดอยู่ว่าจะไปทางไหนดี

      ทันใดนั้น...มีเหยี่ยวตัวใหญ่มหึมา  ปากแหลมใหญ่มาก ขนสีดำ ดูน่ากลัวมาก บินโฉบเฉียดนก และน้ำดอกไม้ ห่างไปเพียงไม่กี่เสี้ยว

      นกตกใจกลัวสุดขีด...แต่ความอยากรู้มีมากกว่าความกลัว จึงตัดสินใจเดินต่อไป

      ลักษณะของพื้นเป็นดินแห้งๆ ระหว่างทางที่เดินจะมีเสียงร้องของเปรตแสดงความ เจ็บปวดทรมาน ส่งเสียงโหยหวนเหมือนเสียงของนกหวีดดั่งสนั่นไปทั่ว (ที่นกมั่นใจว่าเป็นเปรต เพราะตอนเด็กๆ เคยเห็นเปรตที่บ้านย่า  ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่มกว่า  ตัวสูงเหมือนต้นตาล)

      พอเดินมาได้สักพัก ก็เจอเหล่าผู้คุมในนรก...เขาทำเหมือนไม่เห็นเรา  แต่จิตสามารถรู้ ได้ว่า เขามองเราอยู่ตลอดเวลา ผู้คุมจะมีลักษณะรูปร่างที่กำยำ  แข็งแกร่ง สูง ไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีออกน้ำเงิน หน้าตาหล่อทุกๆ คน ไม่ใส่รองเท้า  กำลังคนกะทะทองแดง

      ขนาดของกะทะจะใหญ่มากๆ  ข้างล่างเป็นไฟ  แต่พอนกไปจับดู...ก็ไม่รู้สึกร้อน ในกะทะจะมีน้ำมันเดือด กระจายไปทั่ว น้ำมันจะมีสีเหมือนทองแดง วิญญาณของพวกสัตว์ นรก จะลอยคอโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาที่ขอบ ของกะทะ

      ถ้าขึ้นมาก็จะโดนนายนริยบาล คอยทิ่มแทงให้ลงไป  นายนริยบาล จะมีประมาณ 5 – 6 ท่าน  ใช้หอกง่ามเดียวทิ่มแทง (แต่ถ้าใช้สามง่ามแสดงว่านายนริยบาลท่านนั้นอยู่ในระดับของหัวหน้า)  ดูแล้วน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง

      พอนกเดินไปได้สักพัก ก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของครูเพ็ญว่า การลงไปนรก นั้นง่าย แต่เวลากลับออกมาจะยากมาก พอนึกขึ้นได้อย่างนี้ ก็รู้สึกกลัวและรีบหันไปหา น้ำดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ
      แต่ปรากฏว่า น้ำดอกไม้หายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้นกเดินอยู่คนเดียว  นกจึง ตัดสินใจวิ่ง..วิ่ง..แล้วก็วิ่ง...โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะวิ่งไปไหน...

      พอวิ่งไปได้สักพักก็สะดุดขาตนเอง...ร่างของนกถลาไปชนกับนายนริยบาล ทำให้ต่างคนต่างเซ แต่นายนริยบาล กลับไม่สนใจนกเลย

      นกจึงวิ่งต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้!

      มีหินก้อนใหญ่มหึมา กลิ้งมาด้วยความเร็วสูง พุ่งเข้าทับพวกนักโทษจนแบนติดพื้น ตับ ไต ไส้ พุง กระจายไปทั่ว หินก้อนนั้น เฉียดหน้าของนกไปเพียงนิดเดียว

      ทั้งสองฝั่งมีพวกนักโทษถูกมัดมือด้วยเชือก เดินตามกันเป็นแถวๆ ร่างกายเปล่าเปลือย  ตามตัวพุพอง มีแต่แผลเหมือนไฟลวกทั้งตัว  พอร่างไหนตายไป  สักพักก็จะมีลมบางอย่างพัด มาฟื้นขึ้นมาเนื้อตัวยังเป็นแผล  เขาก็ทรมานตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก วนอยู่เช่นนี้จนกว่า จะหมดกรรม

      นกเห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกท้อไม่อยากเดินต่อ  อยากจะกลับบ้านเสียเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าจะกลับ อย่างไร?

      พอเดินหันกลับไปที่เดิม  ประตูก็หายไปแล้ว เจอแต่ความว่างเปล่า ในที่นั้นเราเห็นทาง ไม่ชัดเจน แสงจะสลัวอยู่ตลอดเวลา...ไม่มีเช้า...  ไม่มีกลางวัน...ไม่มีเย็น  มีแต่เสียงโหยหวน ไม่มีเสียงพระ

      ความกลัวก็วิ่งเข้ามาจับอย่างสุดขั้ว...

      นกก็ตัดสินใจ นั่งคุกเข่า พนมมือ อธิษฐานว่า “ท่านยมบาล นกอยากกลับบ้าน  ขออภัยที่ลงมาโดยพลการ นกสำนึกผิดแล้ว”

      สักพักหนึ่ง นายนริบาลก็ปรากฎร่างมาอยู่เบื้องหน้า ท่านจะแต่งตัวไม่เหมือนผู้คุมอื่นๆ นุ่งโจงกระเบนสีแดง เครื่องทรงสวยงามมาก ใบหน้าเกลี้ยงเกลา รูปร่างลำสันสมกับเป็นชายชาตรี มีน้ำเสียงเข้ม

      ท่านกล่าวว่า “เราได้รับบัญชาจากท่านพญายมราช ให้มาเตือนท่านว่า ครั้งนี้ข้าฯ จะปล่อยท่านไปก่อน  แต่ครั้งต่อไป ถ้าไม่มีผู้นำที่มีบุญมากกว่านำมา ท่านจะไม่สามารถกลับออกไปได้อีก”

      นกรีบพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิด ไม่กี่อึดใจ พลันเกิดแสงเหมือนม่านถูกเปิดออก  ตัวของนกเหมือนถูกฉุดออกไปเลยเหมือนแม่เหล็กดูด  กลับมาสู่กายเนื้อ ตามตัวเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกจึงจะไม่ขอไปท่องนรกอีกเลย

      ผมอดปาดเหงื่อไม่ได้ ด้วยความตื่นเต้น “แล้วสวรรค์นกเคยไปหรือเปล่าครับ” ผมเกริ่นถาม แหมพอพูดถึงสวรรค์ใบหน้าของนกดูดีขึ้นถนัดตา

       “ทุกครั้งที่ขึ้นสวรรค์...เหมือนได้รับพลังบางอย่างกลับมาด้วย  เป็นพลังที่ได้มาจาก เบื้องบน นกคิดว่า คงได้พลังมาจากเทพ – เทวดาทรงโปรดเรา ทรงเมตตาเรา เป็นลักษณะแสง เข้ามากระทบตัวเรา เหมือนเป็นการเพิ่มพลังจิต เพิ่มสมาธิให้นิ่งโดยง่าย ไปทุกครั้งก็รู้สึก ประทับใจทุกครั้ง”

      ที่ประทับใจมากที่สุด คือ ได้เจอตัวปี่เซี๊ย เป็นสัตว์บนสวรรค์ รูปร่าง เหมือนสิงห์โต  หัวเป็นมังกร  ตัวเป็นขน  ตรงหน้าเป็นสีเขียว  เหลือง  น้ำตาลผสมกัน  ตรงตัวสีน้ำตาลขาว... มีขนปุยมาก  ชอบไปนั่งขี่  เพราะตัวมันนุ่มมากๆ  หางก็ยาวมาก  เวลาเมฆมาหรืออะไรมา  เขาจะปัดหางไปมา...บางทีเวลาปัดมาโดนตัวเราจะเจ็บมากๆ..ถ้าเราเลี้ยงเขาดีๆ เขาจะให้ลาภ ทรัพย์สิน เงิน ทอง  ต้องให้น้ำไม่ขาด”

      “หลังจากที่นกได้ฝึกโยคะแล้ว ได้ประสบการณ์พิเศษอะไร หรือเปล่า” ผมอยากรู้เพิ่มเติม

      นกหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบก่อนจะว่า “การฝึกโยคะ เป็นการฝึกที่ทำให้กายกับจิตสัมพันธ์ กัน เด็กที่ปฏิบัติธรรมในห้อง 138 ทุกคน ถึงแม้จะไม่เคยเล่นโยคะมาก่อนเลย  แต่ก็จะสามารถ เล่นโยคะได้อย่างคล่องแคล่ว  ลีลาท่วงท่าที่แสดงออกมาจะเป็นการผสมผสานแฝงไว้ ซึ่งความแข็งแกร่ง และอ่อนช้อยไว้ในเวลาเดียวกัน

       ส่วนตัวของนก พอจับอุปกรณ์ไม้พลองปุ๊บ ก็สามารถเล่นได้เลยทันที เพราะมีพื้นฐาน ของเก่าจากบนสวรรค์อยู่แล้ว ท่าที ลีลาที่เล่นออกมาแต่ละท่าจึงอลังการมาก  ทุกๆ ครั้งที่นกได้เล่นโยคะจะรู้สึกสบายใจมาก  ขณะเล่นเหมือนสภาพจิตของเรากำลังทรงฌาน”

      “แล้วขณะที่เล่นโยคะอยู่นั้น...เทพน้ำดอกไม้ จะมาร่วมแสดงด้วยหรือเปล่า” ผมถาม   นกส่ายหน้า “ หลังจาก ที่องค์น้ำดอกไม้ ได้เรียนรู้เรื่องราวในโลกมนุษย์แล้ว ก็มีเทพองค์อื่นเสด็จมาแทนที่ ท่านมีพระนามว่า มิสุโอะ เป็นเทพวัยเด็กมีหน้าที่อารักขาพระโพธิสัตว์กวนอิมคู่กับนาจา  ลักษณะเป็นเด็กชาวจีน ผิวขาว แก้มสีชมพู มัดผมจุก  แต่งกายสีแดง เป็นพระบัญชาของพระโพธิสัตว์กวนอิม ให้มิสุโอะลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยครูเพ็ญในการสอนธรรม จะเป็นในรูปแบบของการทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆ แล้วตรวจสอบผล ว่า บุคคลผู้นั้นสามารถผ่านการทดสอบได้หรือไม่ สถานการณ์ที่ถูกจำลองขึ้นมาให้ทดสอบ จะเป็นในเรื่องของกิเลส ตัณหา หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง”

      ดวงตาของนก บ่งบอกถึงความปิติอะไรบางอย่าง

      “นก มีอะไรจะเล่าให้พี่ฟัง หรือเปล่า ดูหน้าตาแช่มชื่นชอบกล” ผมโยนคำถาม
      “ แหม..พี่ชรเป็นหมอดูด้วย..ถึงได้อ่านใจนกออก นกแค่นึกถึงตอนที่ปู่อาจารย์ใหญ่ ท่านมาโปรด”
      “ใคร หรือครับ” ผมรีบซัก

      “ท่าน เป็นพระค่ะ ครูเพ็ญสอนให้กำหนดจิตให้นิ่ง แล้วส่งจิตถึงท่าน ลักษณะรูปร่าง ของท่าน จะมีขนาดองค์ที่ใหญ่มาก มีความเมตตาเป็นที่สุด เวลาท่านยิ้มท่านจะน่ารักมาก พระสังกัจจายน์กับท่าน จะเป็นองค์เดียวกัน เครื่องแต่งอยู่ในชุดจีน มีลูกประคำลูกใหญ่มาก  นกจะกำหนดจิตไปนั่งในสะดือท่าน องค์ท่านจะโปร่งใสมาก ท่านสอนในสิ่งที่เราอยากรู้ แต่ก่อนที่จะรู้คำเฉลย เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเองก่อน

      มีช่วงหนึ่ง...ท่านจะปูพื้นฐานการปฏิบัติ โดยทำการสอนทุกวันตลอด 6 เดือน วันแรกท่านสอนให้เดินลม ตั้งแต่ฐานหนึ่งถึงฐาน 8

      ฐาน 8 มีลูกแก้วทั้งหมดอยู่ 9 ลูกอยู่วงใน 9 ลูกอยู่วงนอก  เดินลมไปตามจุดแรก  ตรงฐาน 7 ขึ้นมาตรงหน้าอก  ตรงกระหม่อมแยกซ้ายแยกขวา  กำหนดอีก 16 ลูก  บนหัวเหมือน เป็นมงกุฎ ไล่ลงมาให้อยู่ฐาน 7 ขึ้นมา  ลูกแก้ว 9 ลูกอยู่ในอยู่นอก  ถ้าหายใจเข้าลูกแก้วที่อยู่ข้างนอกจะหุบเข้ามาข้างใน  อยู่ข้างในจะออกมาข้างนอก  แสงจะวาบๆ สลับไปสลับมา นี่คือฐานสุดท้าย การกำหนดเรื่องกิเลส ความสุข เป็นอย่างไร  ความโลภ โกรธ หลง เอาสิ่งที่ท่านสอนไปใช้กับชีวิตประจำวัน

      ท่านสอนไปเรื่อยๆ ปูพื้นฐานมีแค่นี้ ใครมีปัญหาสามารถติดต่อท่านได้  การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ใครสงสัยก็ถาม  ท่านจะตอบให้
     
      ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับท่าน ท่านได้ฝากข้อคิดเอาไว้ด้วยว่า สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ที่เราได้ คิด พูด หรือทำก็ตาม ขอให้พิจารณาให้ถี่ถ้วน และนึกถึงผลของการกระทำที่จะเกิดตามมา... จะได้ไม่เป็นกรรม...อันก่อให้เกิดการเบียดเบียนทั้งตนเอง และผู้อื่น

      สิ้นคำพูดของนก...ก็มีเสียงเด็กผู้ชายตะโกนมาจากด้านหลังพวกเรา  ผมรู้โดย ไม่ต้องใช้ญานอะไรเลยว่า นั่นต้องเป็นเด็กปาฎิหาริย์อีกคนแน่นอน และต้องมีบทเรียนทางธรรม ที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปจากเพื่อนๆ ที่นั่งห้อมล้อมกันอยู่ตรงนี้แน่นอน..

15. โตหลงฤทธิ์...พบทางสว่าง มหาสติปัฏฐาน 4


       “นี่พวกเรา..มีใครเห็นครูเพ็ญบ้าง หรือเปล่า”

      เด็กหนุ่มร่างท่วมยืนเท้าสะเอวถาม แต่คำตอบที่ได้รับ คือ การส่ายหน้าจากทุกคน ยกเว้นน้ำที่แจงข้อข้องใจให้เพื่อนๆ ว่า ครูเพ็ญจะเข้ามาที่ห้อง 138 สายหน่อย เพราะติดธุระส่วนตัว

      ดาวทำหน้าที่แนะผมให้รู้จักเด็กหนุ่มชื่อ โต ทันที และเมื่อบอกเล่าที่มาที่ไปเรียบร้อย โตมีท่าทีอิดเอื้อนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตอบว่า

      “ได้ครับพี่ แต่ฟังเรื่องของผมแล้ว จะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พี่นะครับ...”   ผมพยักหน้ารับ “พี่เชื่อว่า น้องๆ ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรม...อย่างน้อยก็ต้องถือศีล 5 ข้อ ใช่ไหมครับ”

      เด็กๆทุกคนพร้อมใจกันตอบ “ใช่ ครับ / คะ”

      “ถ้าเรารักษาศีลครบ ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเชื่อเราหรือเปล่า..เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่า มันเป็นความจริง” โตตบท้ายก่อนที่จะพาผมไปรู้จักเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของเขา

      โตสนใจปฏิบัติธรรมะ เพราะคุณปู่...

      ตั้งแต่จำความได้ ปู่จะฝึกเขาให้สวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกวันเวลา ครั้งละประมาณ 5-10 นาที ในตอนแรกๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่าย อยากที่จะไปวิ่งเล่นซนกับเพื่อนๆ แต่พอได้ฟังคำสอน ของปู่ที่ว่า

      “สังคมภายนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวายสารพัด อันตรายมีอยู่รอบด้าน จิตใจคนบาง ประเภทดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ หากเราประมาท หรือไม่ระวังตัวให้ดีก็อาจตกเป็นเหยื่อของพวกคน ที่มีจิตใจอำมหิตได้

      ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจะเป็นประโยชน์ในยามที่เราโตขึ้น เพราะ การอยู่ในสังคมต้อง ใช้จิตใจเข้มแข็ง ถ้าไม่เข้มแข็งก็อยู่ไม่ได้  และมีสิ่งล่อเร้า มีกิเลส  หลายๆ อย่างรวมเข้ามาในจิต ของเรา  เราเป็นเด็กอยู่  ควรฝึกพื้นฐานไปก่อน”

      ด้วยความรักของปู่ ทำให้โต เชื่อและปฏิบัติตามอย่างโดยไม่มีข้อแม้ พอเริ่มเข้าเรียนชั้นม.1 ที่ ร.ร. สุริยะกัณตรเทพแห่งนี้ จึงเป็นจุดที่ทำให้เขาได้ต่อยอด ความรู้ทางธรรมมากยิ่งขึ้น

      โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว โตเป็นคนชอบสังเกต เมื่อแรกเข้ามาโรงเรียน เขาก็เดินสำรวจสภาพแวดล้อมของโรงเรียนทันที จนกระทั่งมาสะดุดอยู่ที่ห้อง 138  ซึ่งมีเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ใบหน้าของแต่ละคนอาบไปด้วยความสุข และมีความสงบนิ่งมาก

      พอครูเพ็ญเห็นเขากำลังทำท่าทางจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าห้อง จึงเดินเข้ามาทักทาย และบอกให้เขาเข้ามาในห้อง 138 แต่ด้วยความเขินอาย วันนั้นโตจึงรีบเดินหนีไปทางอื่นทันที

      วันถัดมา โตก็มายืนแอบดูห้อง 138 อีก คราวนี้เขาหนีไม่พ้น!

      “ มีมือของใครบางคนมาจับที่ไหล่ผม เล่นเอาผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ พอหันหน้าไปมอง ก็รู้ว่าเป็นมือของครูเพ็ญ คราวนี้ผมดิ้นไม่หลุดครับ เพราะครูจูงมือผมเข้าไปนั่งสมาธิในห้อง 138”
     
      วันนั้นครูเพ็ญสอนให้ โตเข้าใจถึงคำว่าจิต ว่ามีความสำคัญอย่างไร...
      โดยบอกว่า เราต้องหัดแยกกายและจิตว่าเป็นคนละส่วนกัน
      กายและจิตต้องมีสมาธิ คือ เป็นตัวของมันเอง
      เราจะอยู่อย่างไรให้ทั้งสองสัมพันธ์กัน
      ข้อเสียของโต คือ การเป็นคนอารมณ์ร้อน!

      ครูเพ็ญจึงสอนว่า เราต้องเป็นผู้ปล่อยวาง ปล่อยวางทั้งหมด...พยายามทำอารมณ์ให้นิ่งเป็นหนึ่งเดียว...

      นิ่งเหมือนสายน้ำ ให้ดูสายน้ำในแม่น้ำลำคลอง  มีเรือวิ่งผ่าน ทุกอย่างลงไปอยู่ในคลอง ในแม่น้ำทั้งหมด ให้จินตนาการต่อ  จริงๆ แล้วเราก็เป็นแค่น้ำในขัน พอเราเอาจิตไปวุ่นวาย กับสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ภายนอกตัวจิตมันสัดส่าย ฟุ้งซ่าน

      วิธีแก้วิธีเดียว คือ ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันคือความจริงที่เราจะต้องเผชิญ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด ทรมานขนาดไหน เราจะต้องยอมรับให้ได้ แล้วก็ปล่อยวาง

      ที่สำคัญที่สุด ก็คือทำใจให้หนักแน่น และคิดอยู่เสมอว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรม กรรม คือ สิ่งที่เราเคยทำเอาไว้ทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี เมื่อฝนกำลังตก เราอยู่กลางแจ้ง ไม่มีร่ม ก็ต้องเปียกเป็นของธรรมดา

      เราจะไม่รู้สึกโกรธ เกลียด ฝน ที่ทำให้เราเปียก ก็เพราะเรายอมรับว่า เป็นธรรมชาติ ที่ต้องเกิดขึ้น

      วันหน้าถ้าฝนตกอีก เราก็ต้องเปียกอีก..มันแค่นี้เอง..ยอมรับ และปล่อยวาง เราก็จะทุกข์น้อย หรือไม่ทุกข์เลย

      โตฝึกเช่นนี้ จนจิตสามารถเกิดสมาธิโดยง่าย จนกระทั่งวันหนึ่งก็ถึงวาระสำคัญ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโปรด!!

      “ขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิ  เหมือนมีพระองค์หนึ่งมาสื่อกับเราทางจิตว่า จงหยิบชอล์คขึ้นมาเขียนบนกระดาน

       ลักษณะของท่านเป็นพระจีน ห่มจีวรเหลือง ถือไม้เท้าใส่ลูกประคำ สวมมงกุฏ  ท่านได้กล่าวกับผมว่า อาตมาคือ กู่เชิ่ง เป็นศิษย์ของท่านปู้กุ๊ยฮุก จากนั้น ท่านกู่เชิ่ง ก็เริ่มสั่งทางจิตให้ผมเขียนกระดานดำเกี่ยวกับหัวข้อธรรม อันเกี่ยวกับสติ  กิเลสล้วนๆ  สภาวะของจิตในแต่ละช่วง สภาวะที่เปลี่ยนไป เช่น ความรู้สึกทางอารมณ์ ทางความรู้สึก ที่ถูกกระทบในสภาวะต่างๆ จะมีผลเช่นไร

      ท่านกู่เชิ่ง ย้ำว่าสิ่งที่ท่านเพิ่งเอ่ยไปนั้นเป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้น แต่ในเย็นวันนี้พวกเจ้า (เด็ก ห้อง 138) จะได้พบกับท่าน ปู้กุ๊ยฮุก ท่านจะเมตตาเสด็จมาสงเคราะห์พวกเจ้าด้วย พระองค์เอง”

      เมื่อกล่าวจบ ท่านกู่เชิ่ง ก็เสด็จกลับไป ครูเพ็ญ และเพื่อนๆ ต่างรุมกันถาม โตว่าเกิดอะไรขึ้น?... แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามใดๆ เพราะสมองเต็มไป ด้วยความสับสนจับต้น ชนปลายไม่ถูก

      ครูเพ็ญสังเกตเห็นความสับสนที่เกิดขึ้นในใจโต จึงพยายามแนะให้ปล่อยวาง แล้วทำใจให้สบาย...หากสังขารของเราจะยังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ก็จงภูมิใจเถิด

      แล้วปาฎิหาริย์ครั้งที่สอง ในวันเดียวกันก็เกิดขึ้น เมื่อตกเย็น...

      ท่านปู้กุ๊ยฮุก ก็ได้เสด็จมาจริงๆ!!

      “เริ่มแรกท่านจะพูดเป็นภาษาธิเบตให้ผมฟัง แต่เป็นเรื่องน่าแปลกมาก ที่สมองของผมสามารถแปลทุกคำพูดออกมาเป็นภาษาไทยได้หมดทุกอย่าง โดยไม่ผิดเพี้ยน ในตอนนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากๆ...เร็วจนผมตั้งตัวไม่ติด... มันเป็นความรู้สึกของการเปลี่ยนถ่ายจิต รู้สึกอึดอัด เหมือนมีพลังบางอย่างมาอัดอยู่ในตัว รู้สึกเหมือนตัวเรากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

       ท่าน ปู้กุ๊ยฮุก ท่านรู้ความรู้สึกของผมทุกอย่าง ท่านเลยช่วยให้ผมผ่อนคลาย โดยการนำจิตของผมไปพักผ่อนบนสวรรค์ ความรู้สึกที่อึดอัดกลับกลายเป็น ความเบาโล่งโปร่งสบาย

      ขณะที่จิตของผมอยู่บนสวรรค์ ผมได้มีโอกาสกราบพระพุทธเจ้า  จากนั้นก็เดินทางท่องเที่ยวไปยังพรหมชั้นต่างๆ

      เมื่อจิตเริ่มผ่อนคลายจากความกังวลต่างๆ ท่านปู้กุ๊ยฮุก ก็นำจิตของผมกลับสู่โลกมนุษย์

      โตเล่าว่า ในช่วงเย็นของทุกๆ วันหลังเลิกเรียน ท่านปู้กุ๊ยฮุกจะมาสอนธรรม ให้กับเด็กห้อง 138 วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง...เป็นระยะเวลา 6 เดือนเต็ม

      และในความเป็นจริงแล้ว ท่านปู้กุ๊ยฮุก กับโต คือจิตดวงเดียวกัน พูดให้เข้าใจกันง่าย ก็คือ จิตดวงเดียวกัน แต่แยกส่วนกันทำงาน ส่วนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ อีกส่วนอยู่ในภาคพื้น มนุษย์

      ท่านสอนทุกคนให้เคร่งในการปฏิบัติ  ผลที่ได้รับก็คือจิตของโตเริ่มพัฒนาสูงขึ้น คือ สามารถเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เที่ยวชม สวรรค์มีลักษณะเป็นอย่างไร ชั้นพรหม เป็นอย่างไร ท่านปู้กุ๊ยฮุกนำโตไปศึกษาจนครบ

      และทุกๆ คืนก่อนนอน ท่านยังเมตตาเสด็จมาสอนโตที่บ้าน ครั้งแรกที่พบท่าน ขณะนั้นโตกำลังนอนหลับอยู่ ความรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งทับบนหน้าอก ทำให้รู้สึกหนัก ที่หน้าอก และอึดอัดมากๆ อึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกเลย!!

      “ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีดันตัวขึ้นมานั่ง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าผมก็คือ ร่างของท่านปู้กุ๊ยฮุก  ลักษณะของท่านหน้าตาเหมือนพระสังข์กระจาย ไม่มีผม ผิวเหลืองทอง  สวยมาก  ด้วยความสงสัยผมจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกายของท่าน ปรากฏว่ามือของผมทะลุผ่าน ร่างของท่าน”

      ท่านกล่าวว่า “ ทุกคืนหลัง 2 ทุ่ม จะมาสอนธรรมให้ จงตั้งใจปฏิบัติรับรู้ความรู้ ไปให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้”

      “ผมเพิ่งมาทราบจากเพื่อนๆ ภายหลังว่า นอกจากผมแล้วยังมีเพื่อนๆบางคน ที่ท่านได้เมตตาสงเคราะห์เสด็จไปสอนที่บ้าน ในเวลาเดียวกันกับที่ท่านสอนผมอยู่ด้วย โดยแต่ละครั้งท่านจะสอนประมาณ 2 ชั่วโมง

      พอครบระยะเวลา 6 เดือน ท่านก็บอกว่าต่อจากนี้ไป...พวกเจ้าต้องต้องนำเอา หลักธรรมต่างๆ ที่ได้เรียนมาเพื่อใช้แก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าทุกๆ คน... แบบทดสอบมันเป็นไปตามภาวะตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น รัก.. โลภ.. โกรธ.. หลง”
     
      นั่นหมายถึง เด็กห้อง 138 ทุกคน จะต้องโดนทดสอบทุกคน!

      สรุปแล้วทุกคนยังสอบไม่ผ่าน เพราะยังติดอยู่กับการยึดมั่นถือมั่น

      สำหรับโต โดนทดสอบเรื่องการหลงในฤทธิ์ ที่ตนเองมี ช่วงนั้น นาจา ซึ่งเป็นองครักษ์ ของเจ้าแม่กวนอิม จะสื่อทางจิตกับโตอยู่เป็นประจำ ทำให้โตสามารถหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ล่วงหน้าก่อนคนอื่นๆ บุคคลภายนอก เริ่มเข้ามาหาโตที่โรงเรียนเพื่อขอคำแนะนำ ทั้งเรื่องทางโลก และทางธรรม ไปไหนมาไหนเริ่มเป็นที่รู้จัก เงินทองมีใช้ไม่ขาดมือ

      ในจิตตอนนั้นคิดอยู่ตลอดว่า กูเก่ง.. กูแน่.. กูดัง.. กูเป็นใหญ่กว่าใครๆ เห็นใครทำอะไรที่ทำให้ไม่พอใจก็จะจัดการทันที สภาวะตอนนั้นยอมรับว่า โตควบคุมตัวเองไม่ได้ จนผู้อำนวยการโรงเรียน ได้สั่งให้ครูเพ็ญดูแลความประพฤติอย่าง เข้มงวด

       “ครูเพ็ญเรียกตัวผมไปพบ แล้วก็กำชับว่า หากตัวยังหลงมัวเมากับลาภ ยศ สรรเสริญ จนหลงลืมความเป็นจริงว่า ขณะนี้เรากำลังถูกทดสอบอยู่...ธรรมที่เรียนมาตลอด 6 เดือนก็ไร้ความหมาย....

       ข้อธรรมต่างๆ ที่ได้เรียนมาจากท่านปู้กุ๊ยฮุก  ทำไมถึงไม่เอามาใช้ให้เป็นประ
โยชน์ ถ้าโตยังไม่รีบฉุกคิด ว่าอะไรเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเจริญ หรือความเสื่อมล่ะก้อ ใครก็ไม่สามารถที่จะช่วยโตได้”

      คำพูดของครูเพ็ญทำให้โตถึงกับน้ำตาซึม เพราะสำนึกผิดในความเลวของตน ครูเพ็ญทราบวาระจิตของโต ท่านจึงสอนข้อธรรมเพื่อนำมาชำระจิตอันเต็มไป ด้วยความขุ่นมัวของกิเลส โดยให้โตเน้นการปฏิบัติของตนโดยใช้แนวมหาสติปัฎฐาน 4

       “มหาสติปัฏฐาน 4 คือ การกำหนดจิต เอาแผ่นดินมารองรับตัวเอง คือ การรวมสติ  ให้เป็นหนึ่ง ปรับธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้สมดุล กำหนดรู้  ขอบน้ำ แผ่นฟ้า  แผ่นดิน ลมในกาย  ลมนอกกาย ลมเต็มโลก รู้สภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรอบกาย ให้ทำไปเรื่อยๆ เจริญสติไปเรื่อยๆ  ทำให้ว่าง จะไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง ให้พิจารณามหาสติปัฏฐาน 4 ดูไปเรื่อยๆ....ผลที่ได้ทำให้ เกิดสติรู้เท่าทัน ทิฐิมานะตัดไปเลย  มันว่าง  ดูแล้ว  มันเป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ทุกอย่างเป็นอนัตตา  ต้องปล่อยวางทุกอย่าง ให้วางทุกอย่างไป...

      จำได้ติดตามีอยู่ครั้งนึงในระหว่างที่ผมกำลังนั่งสมาธิอยู่ ก็เกิดภาพหน้าตาคล้ายตัวเอง  มาชี้หน้าด่าตัวเอง โดยให้คำหยาบสารพัด ว่ามาทนนั่งปฏิบัติธรรมทำไม ในเมื่อตัวเรามีฤทธิ์ มากมายกว่าคนทั่วไป

      เมื่อถอนสมาธิออก ผมก็เล่าให้ครูเพ็ญฟัง ครูเพ็ญบอกว่า นั่นคือมารในตัวเรา  เหมือนส่องกระจก  ส่องกระจกจะเห็นมาร  พญามารอยู่ในใจเรา คือ ความคิดที่อยู่ในจิตเรา  มีคิดชั่วคิดเลวอยู่ที่เรา  คือ จิตในส่วนที่ไม่ดี  ทำอย่างไงให้มารหายไป  ก็ต้องคิดดี...ทำดี...พูดดี...ปฏิบัติดี  ทำอะไรก็ได้ที่การกระทำแล้ว ไม่เกิดเป็นกรรม ..เป็นโทษ..ที่ไปเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น”

      เมื่อโตหมั่นทบทวนดูจิตตัวเองอยู่เสมอ...ก็เริ่มเข้าใจถึงสภาวะความเป็นจริงว่า การยึดมั่นถือมั่น...นั้นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์ และโทษกับตัวเราเองอย่างแสนสาหัส วิธีเดียวที่จะช่วยได้ ก็คือ เราต้องวาง

      การวางคือ การพิจารณาดูที่สาเหตุเกิดว่า
      สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร
      หาต้นเหตุของปัญหา
      รวบรวมสติใช้ปัญญาเข้าแก้ไข
      แล้วปล่อยวาง

      เช่น  เรารักผู้หญิงคนหนึ่งมาก  แต่ต้องมีเหตุทำให้ต้องพลัดพลากจากไป... แม้ผลของการจากจะทำให้เราต้องเสียใจขนาดไหน เราก็ต้องสู้แล้วเอาชนะความทุกข์ ที่มารุมเร้าในใจของเราให้ได้
      พยายามทำจิตให้สบาย และระลึกอยู่เสมอว่า... ต้นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ คือ การ    พลัดพรากจากในสิ่งที่เรารัก ซึ่งในความเป็นจริง เราทุกคนเกิดมาก็ต้องเจอกับการพลัดพราก ด้วยกันทุกคน

      ไม่จากเป็น...ก็จากตาย

      ในเมื่อรู้เช่นนั้นแล้วก็ให้ทำใจ...แล้วจงคิดว่าเขาไม่ใช่คู่บารมีของเรา...เขาไม่ใช่ของเรา...ตัวเราก็ไม่ใช่ตัวเรา....

      เกิดมาไม่มีอะไรเลยสุดท้ายก็ต้องดับสูญ

      ดังนั้น การละวางจากสิ่งที่ยึดติด อีกวิธีก็คือ การฝึกปฏิบัติโดยใช้อสุภกรรมฐาน จะใช้วิธีกำหนดจิตให้นิ่ง แล้วแหวกเนื้อที่ห่อหุ้มร่างกายออกให้เหลือแต่กระดูก ฝึกฌาณสมาบัติ  คือการแยกวิญญาณกับกระดูก ใช้อสุภกรรมฐาน สุดท้ายวิญญาณล่องลอย แต่กระดูกยังอยู่เป็นท่อน  กระดูกหายไป

       พูดง่ายๆ ก็คือทุกชีวิตท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเถ้าผงธุลี ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ยึดเลย สักอย่าง

      “ถามว่าทุกวันนี้ผมหลุดพ้นหรือยัง ตอบได้เลยว่า ยังไม่หลุด  ยังอยากได้...อยากมี...  อยากเป็น...แต่มันจะน้อยมาก ในโลกนี้ไม่อยากจะได้อะไรอีกแล้ว ใครให้...ก็รับ ใครอยากขอ...เราก็ให้

      เพื่อความปลอดภัย เวลาที่เราสร้างบุญกุศลครั้งใด จะต้องมีพยานในการรับรู้เพื่อเป็น เครื่องยืนยันในคุณงามความดี เป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ และบุคคลที่จะเป็นพยานที่ดีที่สุด ก็คือ ท่านพญายมราช แล้วอธิษฐานว่า บุญอันใดที่ข้าได้พึงกระทำแล้ว  ขอให้ท่านพญายมราช เจ้ากรรมนายเวร  ทุกผู้ทุกนามจงได้รับส่วนบุญนี้  และโปรดเป็นสักขีพยานว่า ข้าได้ทำบุญบารมี  ที่ถูกต้องตรงแล้ว  ถ้าถูกต้องตรงแล้วขอให้เหล่านี้เป็นบารมีที่ช่วยพยุง ข้าพเจ้าไปสู่การหลุดพ้นด้วยเถิด”

       ทุกวันนี้ท่านปู้กุ๊ยฮุก ท่านก็ยังทรงเมตตาสงเคราะห์ให้คำปรึกษาแก่โต และโตสามารถไปหาท่านได้เลยทุกเวลา สำหรับหนทางพ้นทุกข์ ท่านแนะนำให้ เราทำจิตให้ วาง  เฉย  นิ่ง  สงบ
      วาง   คือ  ทิ้ง
      เฉย   คือ  ดูแล้วเฉย,  ไม่ต้องเอาอารมณ์ไปใส่กับมัน
      นิ่ง   คือ  จิตไม่แกว่งอยู่อย่างงั้น
      สงบ   คือ  อะไรมากระทบทุกอย่างวางเฉยนิ่งสงบ
      “ทุกอย่างล้วนแล้ว สร้างมาด้วยจิต  จิตสร้างมโนภาพ  อย่างคนนั่งสมาธิไปจุฬามณี  ไปกราบพระพุทธเจ้าองค์จริงๆ จิตปรุงหรือเห็นจริงๆ

      จะแตกต่างตรงที่ว่า ถ้าจิตปรุงเองมันจะติด  ถ้าจิตไม่ปรุงมันจะไม่ติด  นี่หรือพระพุทธเจ้า  นี่หรือพระจุฬามณี  ไม่เห็นมีอะไรเลย  จิตไม่คิด มีตัวคิดไหม มีนะ  แต่มันจะตัดของมันเองโดยอัตโนมัติ

      จิตที่ปรุงแต่ง เกิดจากการที่เราไปจำเอาคำพูดของพระที่สอนกรรมฐานว่า  พระจุฬามณีต้องเป็นอย่างนี้  กราบพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้  เขียนมาก่อน  เลยปรุงไปตามคำพูด หรือตามหนังสือ อย่าไปสนใจที่ภาพนิมิต แต่ให้สนใจในหลักธรรม

      ดังในสมัยพุทธกาล ที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีวันดับสูญ อยู่คู่ทุกกาลสมัย เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล(อกาลิโก)  สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้..ผมไม่ได้บังคับให้ใครต้องมาเชื่อ..ทุกคนล้วนแล้วแต่มีปัญญา ด้วยกันทั้งสิ้น..ถ้าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็จงรับ..แต่ถ้าคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระ ก็อย่ามาสนใจคิดให้เปลืองสมองเลยนะครับ”

      คำพูดของโตทำให้ผมนึกถึงคำพระที่พูดถึงมายาจิต

      เด็กคนต่อไปที่ผมจะได้รู้จัก...เป็นเด็กที่เคยไปเที่ยวสรรค์ และเห็นพระจุฬามณีเจดีย์ กำลังจะมาปรากฏตัวในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

16. เข้าเฝ้าพระอินทร์


      ผมเคยได้ยินเรื่องจุฬามณีเจดีย์มาว่า เป็นเจดีย์แก้วอินทนิล ตั้งอยู่ ณ ดาวดึงส์เทวโลก เป็นที่บรรจุพระโมฬี พระภูษาโพก พระทักขิณทาฒธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ของพระพุทธเจ้า และคนไทยโบราณก็มีความเชื่อว่า เมื่อมีคนใกล้จะตาย ก็ให้นำดอกบัวมาใส่ในมือ พนมถือไว้ เพราะเชื่อกันว่า เพื่อจะได้นำไปกราบไหว้พระจุฬามณี

      ในสมัยก่อนเก่านั้น คนไทยโบราณ ก็จะมีรูปพระจุฬามณีใส่กรอบ วางไว้ในห้องพระ เพื่อกราบบูชาเป็นสิริมงคลอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องราวนั่นเป็นประสบการณ์จากการอ่าน จากตำรา แต่ครั้งนี้ผมจะได้ยินเรื่องจุฬามณี จากปากของหนุ่มน้อยคนนี้! “ปู”

      เสียงตามสายของโรงเรียนดังขึ้น

      “ประกาศๆ ท่านผู้ใดพบกระเป๋าเงิน ของเด็กนักเรียน ช่วยกรุณานำส่งที่ห้อง ประชาสัมพันธ์ด่วน...เด็กกำลังรอความหวังจากท่าน..อย่านิ่งดูดายนะครับ”

      กลุ่มน้องๆ ที่คุยกับผมต่างพากันหัวเราะร่วน แล้วตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “ปู”

      วินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อใครบางคน

      “นี่..มีคนพบกระเป๋าเงินแล้ว..รออยู่ที่ใต้ต้นมะฮอกกานี”

      ทุกคนต่างหัวเราะในมุกที่วินแหย่ปู  ไม่กี่อึดใจเด็กร่างโตก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในกลุ่ม พร้อมตะโกนถาม

“วิน!!..ไหนล่ะ กระเป๋าเงิน”

      วินเงยหน้ามองปู แล้วพูดสำเนียงแบบอ่างเถิดเทิง “อา..ล้อเล่นน๊า”  กลุ่มนักเรียนต่างพากันหัวเราะชอบใจ แม้ปูจะโกรธขนาดไหนที่โดนแกล้ง แต่ก็อดหัวเราะตามในน้ำเสียง และท่าทางของวินไม่ได้

      น้ำเสริมขึ้น “ที่พวกเราตามตัวเธอมาก็เพราะว่า.. อยากให้เธอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ ปฏิบัติธรรมให้พี่ชรได้ฟังหน่อย”

      ปูหันหน้ามาทางผม แล้วจ้องด้วยสายตาที่ไม่กระพริบเหมือนกำหนดจิตบางอย่าง

      “ได้ครับพี่ ถ้าจะเป็นประโยชน์ต่อสาธุชน”

      “อนุโมทนา” ผมหยิบสมุดปากกา เตรียมบันทึกทันที

      “ผมชื่อ ปู ครับ แม่บอกว่า ที่ตั้งชื่อนี้ให้ ก็เพราะว่า ผมเป็นเด็กดื้อ ยอมรับครับว่าตอน เด็กๆ ผมมีนิสัยที่ซน และเกเรมากๆ เคยเกือบเผาห้องเรียน เพราะไม่ระวังตอนทดลอง วิทยาศาสตร์ เลยถูกทางโรงเรียนหมายหัวว่า เป็นเด็กเหลือขอ

      พอจบป.6 บรรดาครูที่โรงเรียนเก่า ก็ฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้ว่า หน้าอย่างผม โรงเรียนไหนเขาก็ไม่อยากรับ พอได้เข้าม.1 ที่โรงเรียนสุริยะกัณตรเทพ ผมก็ตั้งใจ และมุ่งมั่นมาก ที่จะตั้งใจเรียน แต่ด้วยความมุ่งมั่นจนเกินไป ผมจึงกลายเป็นคนเครียด”

      ความเครียดทำให้ปู กลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่สุงสิงกับเพื่อน ทั้งๆ ที่รู้ตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเอง จึงได้แต่ทนเรียนมา จนกระทั่งตอน ม. 2 ก็ได้มีโอกาสเรียนกับครูเพ็ญ ซึ่งมีการสอนต่างไปจากคุณครูคนอื่นๆ

      “วิธีการสอนของครูเพ็ญ จะมีการพูดเปรียบเทียบพฤติกรรมของนักเรียน เข้ากับหลักสูตรการสอน ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับครูคนนี้ วันถัดมาผมจึงไปหาครูเพ็ญ ที่ห้อง 138 เพื่อขอความรู้เพิ่มเติม

      ครูเริ่มสอนให้นั่งสมาธิ แล้วกำหนดจิตระลึกถึง ท้องฟ้า แผ่นน้ำ ลมในกาย ลมนอกกาย แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

      ผมสงสัยว่า เราจะอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรได้ยังไง... เราไปทำตอนไหน แต่ท่านไม่ได้พูดอะไร นอกจากบอกว่า ผมมีจินตนาการที่สูง แล้วสั่งให้กลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านก็พยายามทำสมาธิอีกตามวิธีที่เพิ่งเรียนรู้มา ผลที่ได้รับคือความสบายในใจ ที่ชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ผมปฏิบัติแบบนี้ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม

      ทุกๆ ครั้งจะกำหนดจิตระลึกถึงคำพูดของครูที่กล่าวว่า ให้ระลึกถึงท้องฟ้า ให้ระลึกถึงแผ่นน้ำ นึกถึงตัวเรา ให้พิจารณาร่างกายของตัวเรา ว่ามีอะไรบ้าง มีเส้นผม มีลูกตา มีจมูก มีปาก ดูอวัยวะทุกส่วน อวัยวะเพศ ร่างกายดูหมด แล้วดูข้างในดูสมอง ดูลูกกระเดือก ตับไตไส้พุง ร่างกายของตัวเรา เส้นเอ็น เส้นร้อยหวาย อะไรคือเรา

      ดูหมด เลือด น้ำหนอง สิ่งที่มันดี ไม่ดี น่าเกลียดร่างกายเราดูให้หมด เสร็จแล้วก็ให้ลมเข้ามาในร่างกาย แล้วพาเอาสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเราออกไป ทำตัวเราให้โปร่งเหมือนแก้ว กำหนดจิตอยู่ที่ตรงกลางหน้าอก แล้วขยายออกไป ให้เห็นที่เรานั่งอยู่ ให้เห็นที่ๆเ ราอยากจะรู้ แล้วกลับมาที่จิตเรา

       ผลที่เกิดคือ ความสงบ ดูบ่อยๆ เข้าก็จะรู้สึกรังเกียจตัวเอง ในความสกปรก โสโครก  เป็นความรู้สึกที่ขยะแขยงตัวเอง ภายในใจตอนนั้นเริ่มไม่อยากรู้จักกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร อยากอยู่คนเดียว ผู้หญิงที่เคยชอบพอกัน เราเริ่มรู้สึกอยากหนีห่าง”
     
      หลังจากฝึกสมาธิได้ประมาณ 1 เดือน ปูก็ตัดสินใจกลับมาหาครูเพ็ญๆ ได้ตั้งคำถามว่า ถ้ามีกองถ่านอยู่ 2 กอง กองหนึ่งอยู่ที่ตัวปู ส่วนอีกกองหนึ่งอยู่บนตัวของแฟน ปูจะนำเอา ถ่านกองไหนออกก่อน

      ด้วยตอนนั้นปูยังไม่รู้ จึงตอบว่า ปัดเอากองที่อยู่บนตัวของแฟนออกก่อน

       ครูเพ็ญ เฉลยว่า ผิด ความจริงปูจะต้องปัดกองถ่านให้ตัวเองก่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า เราต้องรู้จักรักตัวเองก่อน

      จากนั้นปูก็ปรึกษาครูเพ็ญว่า ตอนนี้เป็นทุกข์ เพราะตนเองมีความรู้สึกเบื่อหน่าย ในเรื่องความรัก ในใจเริ่มคิดออกห่างจากแฟน  อีกทั้งมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง คือ การเบื่อหน่ายต่อคำชมที่ผู้อื่นมีต่อเอง

      ครูก็แนะว่า ให้ทำสมาธิต่อไปเรื่อยๆ ก่อน หลังจากนั้น พอปูสามารถทำสมาธิ ได้นิ่งเข้าที่จนเป็นปกติแล้ว ครูเพ็ญก็เริ่มแทรกความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการเล่นพลัง โดยใช้มือของเราเหมือนจะประกบกัน แต่ให้อยู่ห่างกันพอได้ระดับ เราจะรู้สึกว่า มีพลังบางอย่างเกิดขึ้น ถือเป็นกสิณรูปแบบหนึ่ง

      จากนั้นให้กำหนดลูกแก้วที่ปลายจมูก ถ้าเป็นผู้ชายให้กำหนดที่ปลายจมูกด้านขวา ส่วนหญิงที่ปลายจมูกด้านซ้าย แล้วท่องสัมมาอะระหัง 3 ครั้ง

      “แล้วเลื่อนลูกแก้วมาที่หัวตา แล้วท่องสัมมาอะระหัง 3 ครั้ง แล้วเลื่อนไปที่กลางกระหม่อม (โดยลากเส้น 2 เส้น ผ่านจากกลางศีรษะมาที่ลำตัว แล้วก็ลากเป็นเส้นขวาง จากกระหม่อมด้านซ้ายมาขวา จะเกิดจุดตัดจุดหนึ่งพอดีตรงที่กระหม่อม (ฐาน7)) จุดที่ 4 อยู่ตรงลำคอ เลื่อนไปที่จุด 5 ที่ลิ้นปี่ เลื่อนไปจุดที่ 6 คือ สะดือ แล้วเลื่อนไปที่จุดที่ 7 จะอยู่เหนือสะดือ 2 นิ้ว ทุกจุดต้องท่องสัมมาอะระหัง 3 ครั้ง

       จากนั้นค่อยๆ เลื่อนไปจุดต่อไป ให้ท่องหยุดในหยุดๆ จะเริ่มเห็นคนนั่งสมาธิอยู่ในตัว แล้วมีลูกแก้วอยู่ตรงกลาง

      ครูให้ความรู้เพิ่มเติมไปที่จุด 8 หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าวิชาขาด แต่เริ่มไม่เข้าใจ และเรียนต่อไม่ไหวจึงขอตัวกลับ พออยู่ที่บ้านผมพยายามฝึกอีกครั้ง พอลูกแก้วเลื่อนไปที่ฐาน 7 ก็เกิดการแตกตัว แล้วกลายเป็นดอกบัว วันรุ่งขึ้นผมรีบเดินตรงไปหาครูเพ็ญที่ห้อง 138 เพื่อ เล่าผลการปฏิบัติ”

      วันนั้นจึงทำให้ ปู ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต!
      ---------------------------------------------------------------------------------------
(ฐานที่ 1 คือปากช่องจมูก ญ-ซ้าย ช-ขวา คำว่าปากช่องจมูกคือ ปากทางเข้ารูจมูก
ฐานที่ 2 คือเพลาตา ญ-ซ้าย ช-ขวา ประตูน้ำตาออก แต่อยู่ด้านใน
ฐานที่ 3 จอมประสาท อยู่กลางกระโหลกศีรษะ ลากเชือกจากซ้ายไปขวา จากตรงกลางหน้าผากไปทะลุด้านหลังศรีษะ
บริเวณจุดตัดคือฐานที่ 3 ถึงฐานนี้ต้องเหลือกตาขึ้นเบา ๆ
ฐานที่ 4 ปากช่องเพดาน ตรงที่เราเคยสำลักน้ำ-อาหาร
ฐานที่ 5 ปากช่องลำคอ เหนือระดับลูกกระเดือกนิดนึง
ฐานที่ 6 ศูนย์กลางตัวระดับสะดือ กลางจุดตัดเส้นด้ายสองเส้นกลางท้องระดับสะดือ
ฐานที่ 7 ศูนย์กลางกาย เหนือระดับสะดือ 2 นิ้วมือ (พยายามจับภาพนิมิตให้ชัดทั้งลืมตา และหลับตา)
การเคลื่อนนิมิตจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จะเน้นที่ความเบาสบายไม่เร่งรีบ ไม่อยาก ให้จิตผ่อนคลายเป็นที่ตั้ง
      ******************************************************************

      หลังจากที่ครูเพ็ญรับทราบเรื่องทั้งหมด  ท่านก็ให้ปูทำสมาธิให้ได้สติ กำหนดท้องฟ้า แผ่นน้ำ สักพักก็ปรากฏภาพดินแดนแห่งหนึ่ง มีสระน้ำ มีดอกบัว มีต้นโพธิ์ 3 ต้น โพธิ์แก้ว โพธิ์ทอง โพธิ์เงิน มีน้ำตก เห็นคนแต่งตัวเป็นเครื่องประดับด้วยแก้ว

      จากนั้นก็ถอนสมาธิ ครูให้กลับบ้าน พอกลับถึงบ้าน ปูก็ทำสมาธิต่ออีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นตัวเองไปนั่งตรงต้นโพธิ์เงิน เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า เบาสบาย แต่พอถอนสมาธิร่างกายรู้สึกทรมาน ลึกๆ ก็ไม่ค่อยชอบ แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร

       ครั้งต่อมา ปูได้มีโอกาสขึ้นไปบนสวรรค์ โดยบรรยากาศรอบๆ จะเป็นสีขาว มีเทพชั้นสูง 2 พระองค์ ประทับอยู่ พอปูก้มลงกราบ ท่านก็พูดว่า

      “มาแล้วหรือ รอให้ขึ้นมาตั้งนานแล้ว”

      “ท่านถามถึงการปฏิบัติธรรมของผมว่า เป็นอย่างไรบ้าง ภาษาที่ผมพูดจะใช้ เป็นภาษาธรรมดา แต่ท่านจะใช้ภาษาโบราณ แทนตัวท่านว่าพ่อ แล้วเรียกผมว่า ลูก สนทนาสักพัก ท่านก็บอกว่าไหนๆ ขึ้นมาแล้วน่าจะไปกราบพระจุฬามณีเจดีย์หน่อยนะ จะได้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง ผมพนมมือน้อมรับ

      ทันใดนั้นจิตผมก็มุ่งสู่พระจุฬามณี ผมสังเกตดู บริเวณที่พื้น หรือกำแพงทุกๆ ด้านของพระจุฬามณีเป็นทองคำ  องค์พระจุฬามณีเป็นแก้ว ๗ ประการ  ท่านพ่อได้ให้ความรู้ว่า พระจุฬามณีมีประตูสำหรับเข้าถึง ๑,๐๐๐ ประตู จุดที่ตั้งจะอยู่ทาง ทิศตะวันออกของเวชยันต์ วิมาน ซึ่งเป็นวิมานของพระอินทร์ ซึ่งจะมีสวนนันทวันอยู่ทางทิศตะวันออกของวิมาน  สวนจิตรลดาวันอยู่ทางตะวันตก สวนมิสกวันอยู่ทางเหนือ และสวนปารุสกวันอยู่ทางใต้ แต่ละทิศจะมีความคล้ายคลึงกันตรงที่ว่า เหล่าแมกไม้นานาพันธุ์ ล้วนแต่เป็นแก้วผลึกใส และก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นพระแท่นแก้ว เป็นแก้วกัมพลมีสีแดง เป็นที่ประทับของพระอินทร์มีบริเวณกว้างมาก แก้วนี้มีสภาพคล้ายๆ กับเก้าอี้สปริง แท่นแก้วจะมีรูปร่างคล้ายเก้าอี้ แล้วก็มีธรรมเทวสภา เรียกว่า เทวสภากับศาลาสุธรรมา เป็นที่ประชุมของเหล่าเทวดา สิ่งประดับประดาด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว ๗ ประการ  สำหรับพระอินทร์ประทับ แสดงธรรม มีสระโบกขรณีอยู่ทางด้านทิศใต้ของเวชยันต์วิมาน ติดกันกับสวนจิตรลดาวัน

      ท่านพ่อบอกว่า เวชยันต์วิมานเป็นวิมาน ๙ ยอด มีแก้ว ๗ ประการเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับ ทำวิมาน  เป็นวิมานที่สูงใหญ่มากมีถึง ๑,๐๐๐ ชั้น มีนางฟ้าเป็นบริวารของพระอินทร์ อยู่ในวิมานนั้นถึงแสนคน”
      รอบๆ เวชยันต์วิมาน มีวิมานสวยๆ ล้อมรอบอยู่ถึง ๓๒ วิมาน และในทุกๆ ครั้ง ที่พุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะทำการปลงผมเพื่อออกผนวชเมื่อไหร่ พระอินทร์จะนำผอบทองมารองรับเส้นเกศาของพระองค์ในทันที แล้วจึงอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ จุฬามณีเจดีย์  ที่นั่นยังเป็นที่บรรจุของพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้าอีกด้วย

      ถึงเวลาวันพระ บรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลายจะพากัน มานมัสการอย่างคับคั่ง ท่านที่ได้อภิญญาหรือมโนมยิทธิ สำหรับมนุษย์ที่ได้ฌานก็พากันมาถวายนมัสการ พระจุฬามณีเจดีย์สถาน
      “เมื่อเข้าไปที่นั่นแล้ว ถ้าตาดีนะ ถ้ามีญาณพิเศษดีจะเห็นว่ามีพระอยู่องค์ หนึ่งสวยสดงดงามมาก มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกาย  แสดงธรรมเป็นประจำ แต่ทว่า ถ้าคนตาไม่ดี สมาธิไม่ดีก็เห็นเป็นพระพุทธรูปไป ทำด้วยอิฐทาสีขาว เช่นเดียวกับพระจุฬามณี บางคนก็เห็นเป็นแค่ปูนธรรมดา แต่บางคนก็เห็นเป็นสีทอง ขึ้นอยู่กับว่าสมาธิของใครจะดี อยู่ในระดับไหน จิตสะอาดดีก็จะเห็นเป็นแก้ว ๗ ประการทั้งองค์เลย

      ท่านพ่อเสริมความรู้เกี่ยวกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้ ล้อมรอบไปด้วยกำแพง แก้ว ๗ ประการ  พื้นก็เป็นแก้ว ๗ ประการ มีพระแท่นแก้ว เป็นศิลานะ ศิลาอาสน์ อาสนะทำด้วยศิลาใหญ่มาก แล้วก็รอบๆ นั้น ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือ ก็มีสวน สวย  บริเวณกว้างขวาง ซึ่งเกิดด้วยอำนาจบุญบารมีของพระอินทร์ กับมิตรที่พากันปลูก ต้นทองหลางไว้ แล้วก็เอาหินมาวางเป็นแท่นไว้

      ในสมัยเป็นมนุษย์ พระอินทร์องค์นี้ ก็คือ มาฆะมานพในสมัยนั้น ปลูกไว้ เพื่อตั้งใจให้สำหรับคนทั้งหลายที่เดินไปเดินมาระหว่างทางเป็นระยะทางไกล และมีความร้อนจะได้นั่งพักให้สบาย  ต้นทองหลางบันดาลให้เกิดความเย็น  แท่นที่วางไว้เป็นแท่นหินจะได้นั่งพักผ่อน หายเมื่อยหายขบแล้วค่อยเดินต่อไป เวลาที่ท่านตายจากมนุษย์ อานิสงส์ที่ท่านปลูก ต้นทองหลาง กลายมาเป็นต้นปาริชาต มีกลิ่นหอมมากเวลาที่มีดอกผุดขึ้นมา

      พื้นที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นทองหลาง กลายมาเป็นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ท่านพ่อย้ำให้ฟังว่า การบุญน่ะไม่มีเสียเปล่า  เวลาตายไปแล้ว ก็จะได้รู้เองว่า บุญที่ทำไปนั้น ช่วยตัวเราได้มากมายมหาศาล ยิ่งนึกก็ยิ่งดีใจที่ตัวผมเองมีโอกาสได้มาสัมผัสกับความงามอันวิจิตรของเวชยันต์วิมาน ท่านพ่อหันมากระซิบบอกว่า พ่อพาเจ้ามาเที่ยวนานได้เวลากลับโลกมนุษย์แล้ว

       แต่ก่อนกลับท่านพ่อก็สอนว่า จงอย่าเคร่งเครียดเกินไปเวลาปฏิบัติธรรม เพราะจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ผมก้มลงกราบลาที่เท้าท่าน..ก่อนกลับสู่สังขารในโลก”

      เด็กๆ หันมามองหน้า เหมือนจะสื่อสารอะไรกันบางอย่าง...และน้ำ ก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ได้เวลา พาพี่เขาไปหาครูเพ็ญแล้วล่ะ”

      พอได้ยินชื่อครูเพ็ญ ขนผมลุกซู่ขึ้นมาทันที เพราะแค่เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ยังมีเรื่องปาฏิหาริย์ให้ทึ่งขนาดนี้ แล้วครูเพ็ญที่รอผมอยู่ที่ห้อง 138

      จะทำให้ผมได้พบปาฏิหาริย์อะไรอีกในวันนี้!

      และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะไปเหยียบห้อง 138 ห้องเรียนปาฏิหาริย์ ด้วยตัวผมเองอีกด้วย