Sunday, February 26, 2012

14. นกซ่าส์...หวิดดับในนรก


      เรื่องราวของนก ยังไม่จบ! ความอยากรู้ ใคร่เห็น เกินกว่าพลังบุญของตนเอง ทำให้นกได้รับประสบการณ์ที่ต้องจดจำไปจนตาย และได้รู้ว่าเทพประจำตัวของนกไม่ได้ มีองค์เดียว?...และผู้ปฏิบัติธรรมต้องถูกเบื้องต้นทดสอบคืออะไร?

      ด้วยความซนและความดื้อของนก ก็เกิดความคิดที่จะชวนน้ำดอกไม้ไปเที่ยวนรก น้ำดอกไม้พยายามเตือนว่า อย่าไปเลย แต่นกไม่ยอมเชื่อ จะขอดื้อไปเที่ยวนรกให้ได้ เมื่อไม่มีทางเลือกน้ำดอกไม้จึงต้องยอมตามใจนก

      นกตั้งสมาธิรวมจิตให้เป็นหนึ่ง แล้วพุ่งจิตสู่นรกภูมิ พลันบังเกิดลำแสงสีขาวส่อง เป็นช่อง จิตของเราทั้งสองพุ่งผ่านเข้าไป เบื้องหน้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความมืดสลัว นกกับน้ำดอกไม้ ยืนลังเลคิดอยู่ว่าจะไปทางไหนดี

      ทันใดนั้น...มีเหยี่ยวตัวใหญ่มหึมา  ปากแหลมใหญ่มาก ขนสีดำ ดูน่ากลัวมาก บินโฉบเฉียดนก และน้ำดอกไม้ ห่างไปเพียงไม่กี่เสี้ยว

      นกตกใจกลัวสุดขีด...แต่ความอยากรู้มีมากกว่าความกลัว จึงตัดสินใจเดินต่อไป

      ลักษณะของพื้นเป็นดินแห้งๆ ระหว่างทางที่เดินจะมีเสียงร้องของเปรตแสดงความ เจ็บปวดทรมาน ส่งเสียงโหยหวนเหมือนเสียงของนกหวีดดั่งสนั่นไปทั่ว (ที่นกมั่นใจว่าเป็นเปรต เพราะตอนเด็กๆ เคยเห็นเปรตที่บ้านย่า  ตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่มกว่า  ตัวสูงเหมือนต้นตาล)

      พอเดินมาได้สักพัก ก็เจอเหล่าผู้คุมในนรก...เขาทำเหมือนไม่เห็นเรา  แต่จิตสามารถรู้ ได้ว่า เขามองเราอยู่ตลอดเวลา ผู้คุมจะมีลักษณะรูปร่างที่กำยำ  แข็งแกร่ง สูง ไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีออกน้ำเงิน หน้าตาหล่อทุกๆ คน ไม่ใส่รองเท้า  กำลังคนกะทะทองแดง

      ขนาดของกะทะจะใหญ่มากๆ  ข้างล่างเป็นไฟ  แต่พอนกไปจับดู...ก็ไม่รู้สึกร้อน ในกะทะจะมีน้ำมันเดือด กระจายไปทั่ว น้ำมันจะมีสีเหมือนทองแดง วิญญาณของพวกสัตว์ นรก จะลอยคอโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาที่ขอบ ของกะทะ

      ถ้าขึ้นมาก็จะโดนนายนริยบาล คอยทิ่มแทงให้ลงไป  นายนริยบาล จะมีประมาณ 5 – 6 ท่าน  ใช้หอกง่ามเดียวทิ่มแทง (แต่ถ้าใช้สามง่ามแสดงว่านายนริยบาลท่านนั้นอยู่ในระดับของหัวหน้า)  ดูแล้วน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง

      พอนกเดินไปได้สักพัก ก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของครูเพ็ญว่า การลงไปนรก นั้นง่าย แต่เวลากลับออกมาจะยากมาก พอนึกขึ้นได้อย่างนี้ ก็รู้สึกกลัวและรีบหันไปหา น้ำดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ
      แต่ปรากฏว่า น้ำดอกไม้หายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้นกเดินอยู่คนเดียว  นกจึง ตัดสินใจวิ่ง..วิ่ง..แล้วก็วิ่ง...โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะวิ่งไปไหน...

      พอวิ่งไปได้สักพักก็สะดุดขาตนเอง...ร่างของนกถลาไปชนกับนายนริยบาล ทำให้ต่างคนต่างเซ แต่นายนริยบาล กลับไม่สนใจนกเลย

      นกจึงวิ่งต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้!

      มีหินก้อนใหญ่มหึมา กลิ้งมาด้วยความเร็วสูง พุ่งเข้าทับพวกนักโทษจนแบนติดพื้น ตับ ไต ไส้ พุง กระจายไปทั่ว หินก้อนนั้น เฉียดหน้าของนกไปเพียงนิดเดียว

      ทั้งสองฝั่งมีพวกนักโทษถูกมัดมือด้วยเชือก เดินตามกันเป็นแถวๆ ร่างกายเปล่าเปลือย  ตามตัวพุพอง มีแต่แผลเหมือนไฟลวกทั้งตัว  พอร่างไหนตายไป  สักพักก็จะมีลมบางอย่างพัด มาฟื้นขึ้นมาเนื้อตัวยังเป็นแผล  เขาก็ทรมานตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีก วนอยู่เช่นนี้จนกว่า จะหมดกรรม

      นกเห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกท้อไม่อยากเดินต่อ  อยากจะกลับบ้านเสียเหลือเกิน แต่ไม่รู้ว่าจะกลับ อย่างไร?

      พอเดินหันกลับไปที่เดิม  ประตูก็หายไปแล้ว เจอแต่ความว่างเปล่า ในที่นั้นเราเห็นทาง ไม่ชัดเจน แสงจะสลัวอยู่ตลอดเวลา...ไม่มีเช้า...  ไม่มีกลางวัน...ไม่มีเย็น  มีแต่เสียงโหยหวน ไม่มีเสียงพระ

      ความกลัวก็วิ่งเข้ามาจับอย่างสุดขั้ว...

      นกก็ตัดสินใจ นั่งคุกเข่า พนมมือ อธิษฐานว่า “ท่านยมบาล นกอยากกลับบ้าน  ขออภัยที่ลงมาโดยพลการ นกสำนึกผิดแล้ว”

      สักพักหนึ่ง นายนริบาลก็ปรากฎร่างมาอยู่เบื้องหน้า ท่านจะแต่งตัวไม่เหมือนผู้คุมอื่นๆ นุ่งโจงกระเบนสีแดง เครื่องทรงสวยงามมาก ใบหน้าเกลี้ยงเกลา รูปร่างลำสันสมกับเป็นชายชาตรี มีน้ำเสียงเข้ม

      ท่านกล่าวว่า “เราได้รับบัญชาจากท่านพญายมราช ให้มาเตือนท่านว่า ครั้งนี้ข้าฯ จะปล่อยท่านไปก่อน  แต่ครั้งต่อไป ถ้าไม่มีผู้นำที่มีบุญมากกว่านำมา ท่านจะไม่สามารถกลับออกไปได้อีก”

      นกรีบพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิด ไม่กี่อึดใจ พลันเกิดแสงเหมือนม่านถูกเปิดออก  ตัวของนกเหมือนถูกฉุดออกไปเลยเหมือนแม่เหล็กดูด  กลับมาสู่กายเนื้อ ตามตัวเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกจึงจะไม่ขอไปท่องนรกอีกเลย

      ผมอดปาดเหงื่อไม่ได้ ด้วยความตื่นเต้น “แล้วสวรรค์นกเคยไปหรือเปล่าครับ” ผมเกริ่นถาม แหมพอพูดถึงสวรรค์ใบหน้าของนกดูดีขึ้นถนัดตา

       “ทุกครั้งที่ขึ้นสวรรค์...เหมือนได้รับพลังบางอย่างกลับมาด้วย  เป็นพลังที่ได้มาจาก เบื้องบน นกคิดว่า คงได้พลังมาจากเทพ – เทวดาทรงโปรดเรา ทรงเมตตาเรา เป็นลักษณะแสง เข้ามากระทบตัวเรา เหมือนเป็นการเพิ่มพลังจิต เพิ่มสมาธิให้นิ่งโดยง่าย ไปทุกครั้งก็รู้สึก ประทับใจทุกครั้ง”

      ที่ประทับใจมากที่สุด คือ ได้เจอตัวปี่เซี๊ย เป็นสัตว์บนสวรรค์ รูปร่าง เหมือนสิงห์โต  หัวเป็นมังกร  ตัวเป็นขน  ตรงหน้าเป็นสีเขียว  เหลือง  น้ำตาลผสมกัน  ตรงตัวสีน้ำตาลขาว... มีขนปุยมาก  ชอบไปนั่งขี่  เพราะตัวมันนุ่มมากๆ  หางก็ยาวมาก  เวลาเมฆมาหรืออะไรมา  เขาจะปัดหางไปมา...บางทีเวลาปัดมาโดนตัวเราจะเจ็บมากๆ..ถ้าเราเลี้ยงเขาดีๆ เขาจะให้ลาภ ทรัพย์สิน เงิน ทอง  ต้องให้น้ำไม่ขาด”

      “หลังจากที่นกได้ฝึกโยคะแล้ว ได้ประสบการณ์พิเศษอะไร หรือเปล่า” ผมอยากรู้เพิ่มเติม

      นกหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบก่อนจะว่า “การฝึกโยคะ เป็นการฝึกที่ทำให้กายกับจิตสัมพันธ์ กัน เด็กที่ปฏิบัติธรรมในห้อง 138 ทุกคน ถึงแม้จะไม่เคยเล่นโยคะมาก่อนเลย  แต่ก็จะสามารถ เล่นโยคะได้อย่างคล่องแคล่ว  ลีลาท่วงท่าที่แสดงออกมาจะเป็นการผสมผสานแฝงไว้ ซึ่งความแข็งแกร่ง และอ่อนช้อยไว้ในเวลาเดียวกัน

       ส่วนตัวของนก พอจับอุปกรณ์ไม้พลองปุ๊บ ก็สามารถเล่นได้เลยทันที เพราะมีพื้นฐาน ของเก่าจากบนสวรรค์อยู่แล้ว ท่าที ลีลาที่เล่นออกมาแต่ละท่าจึงอลังการมาก  ทุกๆ ครั้งที่นกได้เล่นโยคะจะรู้สึกสบายใจมาก  ขณะเล่นเหมือนสภาพจิตของเรากำลังทรงฌาน”

      “แล้วขณะที่เล่นโยคะอยู่นั้น...เทพน้ำดอกไม้ จะมาร่วมแสดงด้วยหรือเปล่า” ผมถาม   นกส่ายหน้า “ หลังจาก ที่องค์น้ำดอกไม้ ได้เรียนรู้เรื่องราวในโลกมนุษย์แล้ว ก็มีเทพองค์อื่นเสด็จมาแทนที่ ท่านมีพระนามว่า มิสุโอะ เป็นเทพวัยเด็กมีหน้าที่อารักขาพระโพธิสัตว์กวนอิมคู่กับนาจา  ลักษณะเป็นเด็กชาวจีน ผิวขาว แก้มสีชมพู มัดผมจุก  แต่งกายสีแดง เป็นพระบัญชาของพระโพธิสัตว์กวนอิม ให้มิสุโอะลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยครูเพ็ญในการสอนธรรม จะเป็นในรูปแบบของการทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆ แล้วตรวจสอบผล ว่า บุคคลผู้นั้นสามารถผ่านการทดสอบได้หรือไม่ สถานการณ์ที่ถูกจำลองขึ้นมาให้ทดสอบ จะเป็นในเรื่องของกิเลส ตัณหา หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง”

      ดวงตาของนก บ่งบอกถึงความปิติอะไรบางอย่าง

      “นก มีอะไรจะเล่าให้พี่ฟัง หรือเปล่า ดูหน้าตาแช่มชื่นชอบกล” ผมโยนคำถาม
      “ แหม..พี่ชรเป็นหมอดูด้วย..ถึงได้อ่านใจนกออก นกแค่นึกถึงตอนที่ปู่อาจารย์ใหญ่ ท่านมาโปรด”
      “ใคร หรือครับ” ผมรีบซัก

      “ท่าน เป็นพระค่ะ ครูเพ็ญสอนให้กำหนดจิตให้นิ่ง แล้วส่งจิตถึงท่าน ลักษณะรูปร่าง ของท่าน จะมีขนาดองค์ที่ใหญ่มาก มีความเมตตาเป็นที่สุด เวลาท่านยิ้มท่านจะน่ารักมาก พระสังกัจจายน์กับท่าน จะเป็นองค์เดียวกัน เครื่องแต่งอยู่ในชุดจีน มีลูกประคำลูกใหญ่มาก  นกจะกำหนดจิตไปนั่งในสะดือท่าน องค์ท่านจะโปร่งใสมาก ท่านสอนในสิ่งที่เราอยากรู้ แต่ก่อนที่จะรู้คำเฉลย เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเองก่อน

      มีช่วงหนึ่ง...ท่านจะปูพื้นฐานการปฏิบัติ โดยทำการสอนทุกวันตลอด 6 เดือน วันแรกท่านสอนให้เดินลม ตั้งแต่ฐานหนึ่งถึงฐาน 8

      ฐาน 8 มีลูกแก้วทั้งหมดอยู่ 9 ลูกอยู่วงใน 9 ลูกอยู่วงนอก  เดินลมไปตามจุดแรก  ตรงฐาน 7 ขึ้นมาตรงหน้าอก  ตรงกระหม่อมแยกซ้ายแยกขวา  กำหนดอีก 16 ลูก  บนหัวเหมือน เป็นมงกุฎ ไล่ลงมาให้อยู่ฐาน 7 ขึ้นมา  ลูกแก้ว 9 ลูกอยู่ในอยู่นอก  ถ้าหายใจเข้าลูกแก้วที่อยู่ข้างนอกจะหุบเข้ามาข้างใน  อยู่ข้างในจะออกมาข้างนอก  แสงจะวาบๆ สลับไปสลับมา นี่คือฐานสุดท้าย การกำหนดเรื่องกิเลส ความสุข เป็นอย่างไร  ความโลภ โกรธ หลง เอาสิ่งที่ท่านสอนไปใช้กับชีวิตประจำวัน

      ท่านสอนไปเรื่อยๆ ปูพื้นฐานมีแค่นี้ ใครมีปัญหาสามารถติดต่อท่านได้  การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ใครสงสัยก็ถาม  ท่านจะตอบให้
     
      ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับท่าน ท่านได้ฝากข้อคิดเอาไว้ด้วยว่า สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ที่เราได้ คิด พูด หรือทำก็ตาม ขอให้พิจารณาให้ถี่ถ้วน และนึกถึงผลของการกระทำที่จะเกิดตามมา... จะได้ไม่เป็นกรรม...อันก่อให้เกิดการเบียดเบียนทั้งตนเอง และผู้อื่น

      สิ้นคำพูดของนก...ก็มีเสียงเด็กผู้ชายตะโกนมาจากด้านหลังพวกเรา  ผมรู้โดย ไม่ต้องใช้ญานอะไรเลยว่า นั่นต้องเป็นเด็กปาฎิหาริย์อีกคนแน่นอน และต้องมีบทเรียนทางธรรม ที่น่าสนใจไม่ยิ่งหย่อนไปจากเพื่อนๆ ที่นั่งห้อมล้อมกันอยู่ตรงนี้แน่นอน..

No comments:

Post a Comment