Sunday, February 26, 2012

15. โตหลงฤทธิ์...พบทางสว่าง มหาสติปัฏฐาน 4


       “นี่พวกเรา..มีใครเห็นครูเพ็ญบ้าง หรือเปล่า”

      เด็กหนุ่มร่างท่วมยืนเท้าสะเอวถาม แต่คำตอบที่ได้รับ คือ การส่ายหน้าจากทุกคน ยกเว้นน้ำที่แจงข้อข้องใจให้เพื่อนๆ ว่า ครูเพ็ญจะเข้ามาที่ห้อง 138 สายหน่อย เพราะติดธุระส่วนตัว

      ดาวทำหน้าที่แนะผมให้รู้จักเด็กหนุ่มชื่อ โต ทันที และเมื่อบอกเล่าที่มาที่ไปเรียบร้อย โตมีท่าทีอิดเอื้อนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตอบว่า

      “ได้ครับพี่ แต่ฟังเรื่องของผมแล้ว จะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พี่นะครับ...”   ผมพยักหน้ารับ “พี่เชื่อว่า น้องๆ ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรม...อย่างน้อยก็ต้องถือศีล 5 ข้อ ใช่ไหมครับ”

      เด็กๆทุกคนพร้อมใจกันตอบ “ใช่ ครับ / คะ”

      “ถ้าเรารักษาศีลครบ ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเชื่อเราหรือเปล่า..เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่า มันเป็นความจริง” โตตบท้ายก่อนที่จะพาผมไปรู้จักเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของเขา

      โตสนใจปฏิบัติธรรมะ เพราะคุณปู่...

      ตั้งแต่จำความได้ ปู่จะฝึกเขาให้สวดมนต์ และนั่งสมาธิทุกวันเวลา ครั้งละประมาณ 5-10 นาที ในตอนแรกๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่าย อยากที่จะไปวิ่งเล่นซนกับเพื่อนๆ แต่พอได้ฟังคำสอน ของปู่ที่ว่า

      “สังคมภายนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวายสารพัด อันตรายมีอยู่รอบด้าน จิตใจคนบาง ประเภทดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ หากเราประมาท หรือไม่ระวังตัวให้ดีก็อาจตกเป็นเหยื่อของพวกคน ที่มีจิตใจอำมหิตได้

      ดังนั้นการปฏิบัติธรรมจะเป็นประโยชน์ในยามที่เราโตขึ้น เพราะ การอยู่ในสังคมต้อง ใช้จิตใจเข้มแข็ง ถ้าไม่เข้มแข็งก็อยู่ไม่ได้  และมีสิ่งล่อเร้า มีกิเลส  หลายๆ อย่างรวมเข้ามาในจิต ของเรา  เราเป็นเด็กอยู่  ควรฝึกพื้นฐานไปก่อน”

      ด้วยความรักของปู่ ทำให้โต เชื่อและปฏิบัติตามอย่างโดยไม่มีข้อแม้ พอเริ่มเข้าเรียนชั้นม.1 ที่ ร.ร. สุริยะกัณตรเทพแห่งนี้ จึงเป็นจุดที่ทำให้เขาได้ต่อยอด ความรู้ทางธรรมมากยิ่งขึ้น

      โดยนิสัยส่วนตัวแล้ว โตเป็นคนชอบสังเกต เมื่อแรกเข้ามาโรงเรียน เขาก็เดินสำรวจสภาพแวดล้อมของโรงเรียนทันที จนกระทั่งมาสะดุดอยู่ที่ห้อง 138  ซึ่งมีเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ใบหน้าของแต่ละคนอาบไปด้วยความสุข และมีความสงบนิ่งมาก

      พอครูเพ็ญเห็นเขากำลังทำท่าทางจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าห้อง จึงเดินเข้ามาทักทาย และบอกให้เขาเข้ามาในห้อง 138 แต่ด้วยความเขินอาย วันนั้นโตจึงรีบเดินหนีไปทางอื่นทันที

      วันถัดมา โตก็มายืนแอบดูห้อง 138 อีก คราวนี้เขาหนีไม่พ้น!

      “ มีมือของใครบางคนมาจับที่ไหล่ผม เล่นเอาผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ พอหันหน้าไปมอง ก็รู้ว่าเป็นมือของครูเพ็ญ คราวนี้ผมดิ้นไม่หลุดครับ เพราะครูจูงมือผมเข้าไปนั่งสมาธิในห้อง 138”
     
      วันนั้นครูเพ็ญสอนให้ โตเข้าใจถึงคำว่าจิต ว่ามีความสำคัญอย่างไร...
      โดยบอกว่า เราต้องหัดแยกกายและจิตว่าเป็นคนละส่วนกัน
      กายและจิตต้องมีสมาธิ คือ เป็นตัวของมันเอง
      เราจะอยู่อย่างไรให้ทั้งสองสัมพันธ์กัน
      ข้อเสียของโต คือ การเป็นคนอารมณ์ร้อน!

      ครูเพ็ญจึงสอนว่า เราต้องเป็นผู้ปล่อยวาง ปล่อยวางทั้งหมด...พยายามทำอารมณ์ให้นิ่งเป็นหนึ่งเดียว...

      นิ่งเหมือนสายน้ำ ให้ดูสายน้ำในแม่น้ำลำคลอง  มีเรือวิ่งผ่าน ทุกอย่างลงไปอยู่ในคลอง ในแม่น้ำทั้งหมด ให้จินตนาการต่อ  จริงๆ แล้วเราก็เป็นแค่น้ำในขัน พอเราเอาจิตไปวุ่นวาย กับสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ภายนอกตัวจิตมันสัดส่าย ฟุ้งซ่าน

      วิธีแก้วิธีเดียว คือ ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า มันคือความจริงที่เราจะต้องเผชิญ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด ทรมานขนาดไหน เราจะต้องยอมรับให้ได้ แล้วก็ปล่อยวาง

      ที่สำคัญที่สุด ก็คือทำใจให้หนักแน่น และคิดอยู่เสมอว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรม กรรม คือ สิ่งที่เราเคยทำเอาไว้ทั้งสิ่งที่ดี และไม่ดี เมื่อฝนกำลังตก เราอยู่กลางแจ้ง ไม่มีร่ม ก็ต้องเปียกเป็นของธรรมดา

      เราจะไม่รู้สึกโกรธ เกลียด ฝน ที่ทำให้เราเปียก ก็เพราะเรายอมรับว่า เป็นธรรมชาติ ที่ต้องเกิดขึ้น

      วันหน้าถ้าฝนตกอีก เราก็ต้องเปียกอีก..มันแค่นี้เอง..ยอมรับ และปล่อยวาง เราก็จะทุกข์น้อย หรือไม่ทุกข์เลย

      โตฝึกเช่นนี้ จนจิตสามารถเกิดสมาธิโดยง่าย จนกระทั่งวันหนึ่งก็ถึงวาระสำคัญ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาโปรด!!

      “ขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิ  เหมือนมีพระองค์หนึ่งมาสื่อกับเราทางจิตว่า จงหยิบชอล์คขึ้นมาเขียนบนกระดาน

       ลักษณะของท่านเป็นพระจีน ห่มจีวรเหลือง ถือไม้เท้าใส่ลูกประคำ สวมมงกุฏ  ท่านได้กล่าวกับผมว่า อาตมาคือ กู่เชิ่ง เป็นศิษย์ของท่านปู้กุ๊ยฮุก จากนั้น ท่านกู่เชิ่ง ก็เริ่มสั่งทางจิตให้ผมเขียนกระดานดำเกี่ยวกับหัวข้อธรรม อันเกี่ยวกับสติ  กิเลสล้วนๆ  สภาวะของจิตในแต่ละช่วง สภาวะที่เปลี่ยนไป เช่น ความรู้สึกทางอารมณ์ ทางความรู้สึก ที่ถูกกระทบในสภาวะต่างๆ จะมีผลเช่นไร

      ท่านกู่เชิ่ง ย้ำว่าสิ่งที่ท่านเพิ่งเอ่ยไปนั้นเป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้น แต่ในเย็นวันนี้พวกเจ้า (เด็ก ห้อง 138) จะได้พบกับท่าน ปู้กุ๊ยฮุก ท่านจะเมตตาเสด็จมาสงเคราะห์พวกเจ้าด้วย พระองค์เอง”

      เมื่อกล่าวจบ ท่านกู่เชิ่ง ก็เสด็จกลับไป ครูเพ็ญ และเพื่อนๆ ต่างรุมกันถาม โตว่าเกิดอะไรขึ้น?... แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามใดๆ เพราะสมองเต็มไป ด้วยความสับสนจับต้น ชนปลายไม่ถูก

      ครูเพ็ญสังเกตเห็นความสับสนที่เกิดขึ้นในใจโต จึงพยายามแนะให้ปล่อยวาง แล้วทำใจให้สบาย...หากสังขารของเราจะยังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ก็จงภูมิใจเถิด

      แล้วปาฎิหาริย์ครั้งที่สอง ในวันเดียวกันก็เกิดขึ้น เมื่อตกเย็น...

      ท่านปู้กุ๊ยฮุก ก็ได้เสด็จมาจริงๆ!!

      “เริ่มแรกท่านจะพูดเป็นภาษาธิเบตให้ผมฟัง แต่เป็นเรื่องน่าแปลกมาก ที่สมองของผมสามารถแปลทุกคำพูดออกมาเป็นภาษาไทยได้หมดทุกอย่าง โดยไม่ผิดเพี้ยน ในตอนนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากๆ...เร็วจนผมตั้งตัวไม่ติด... มันเป็นความรู้สึกของการเปลี่ยนถ่ายจิต รู้สึกอึดอัด เหมือนมีพลังบางอย่างมาอัดอยู่ในตัว รู้สึกเหมือนตัวเรากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

       ท่าน ปู้กุ๊ยฮุก ท่านรู้ความรู้สึกของผมทุกอย่าง ท่านเลยช่วยให้ผมผ่อนคลาย โดยการนำจิตของผมไปพักผ่อนบนสวรรค์ ความรู้สึกที่อึดอัดกลับกลายเป็น ความเบาโล่งโปร่งสบาย

      ขณะที่จิตของผมอยู่บนสวรรค์ ผมได้มีโอกาสกราบพระพุทธเจ้า  จากนั้นก็เดินทางท่องเที่ยวไปยังพรหมชั้นต่างๆ

      เมื่อจิตเริ่มผ่อนคลายจากความกังวลต่างๆ ท่านปู้กุ๊ยฮุก ก็นำจิตของผมกลับสู่โลกมนุษย์

      โตเล่าว่า ในช่วงเย็นของทุกๆ วันหลังเลิกเรียน ท่านปู้กุ๊ยฮุกจะมาสอนธรรม ให้กับเด็กห้อง 138 วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง...เป็นระยะเวลา 6 เดือนเต็ม

      และในความเป็นจริงแล้ว ท่านปู้กุ๊ยฮุก กับโต คือจิตดวงเดียวกัน พูดให้เข้าใจกันง่าย ก็คือ จิตดวงเดียวกัน แต่แยกส่วนกันทำงาน ส่วนหนึ่งอยู่บนสวรรค์ อีกส่วนอยู่ในภาคพื้น มนุษย์

      ท่านสอนทุกคนให้เคร่งในการปฏิบัติ  ผลที่ได้รับก็คือจิตของโตเริ่มพัฒนาสูงขึ้น คือ สามารถเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เที่ยวชม สวรรค์มีลักษณะเป็นอย่างไร ชั้นพรหม เป็นอย่างไร ท่านปู้กุ๊ยฮุกนำโตไปศึกษาจนครบ

      และทุกๆ คืนก่อนนอน ท่านยังเมตตาเสด็จมาสอนโตที่บ้าน ครั้งแรกที่พบท่าน ขณะนั้นโตกำลังนอนหลับอยู่ ความรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งทับบนหน้าอก ทำให้รู้สึกหนัก ที่หน้าอก และอึดอัดมากๆ อึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกเลย!!

      “ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีดันตัวขึ้นมานั่ง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าผมก็คือ ร่างของท่านปู้กุ๊ยฮุก  ลักษณะของท่านหน้าตาเหมือนพระสังข์กระจาย ไม่มีผม ผิวเหลืองทอง  สวยมาก  ด้วยความสงสัยผมจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกายของท่าน ปรากฏว่ามือของผมทะลุผ่าน ร่างของท่าน”

      ท่านกล่าวว่า “ ทุกคืนหลัง 2 ทุ่ม จะมาสอนธรรมให้ จงตั้งใจปฏิบัติรับรู้ความรู้ ไปให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้”

      “ผมเพิ่งมาทราบจากเพื่อนๆ ภายหลังว่า นอกจากผมแล้วยังมีเพื่อนๆบางคน ที่ท่านได้เมตตาสงเคราะห์เสด็จไปสอนที่บ้าน ในเวลาเดียวกันกับที่ท่านสอนผมอยู่ด้วย โดยแต่ละครั้งท่านจะสอนประมาณ 2 ชั่วโมง

      พอครบระยะเวลา 6 เดือน ท่านก็บอกว่าต่อจากนี้ไป...พวกเจ้าต้องต้องนำเอา หลักธรรมต่างๆ ที่ได้เรียนมาเพื่อใช้แก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าทุกๆ คน... แบบทดสอบมันเป็นไปตามภาวะตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น รัก.. โลภ.. โกรธ.. หลง”
     
      นั่นหมายถึง เด็กห้อง 138 ทุกคน จะต้องโดนทดสอบทุกคน!

      สรุปแล้วทุกคนยังสอบไม่ผ่าน เพราะยังติดอยู่กับการยึดมั่นถือมั่น

      สำหรับโต โดนทดสอบเรื่องการหลงในฤทธิ์ ที่ตนเองมี ช่วงนั้น นาจา ซึ่งเป็นองครักษ์ ของเจ้าแม่กวนอิม จะสื่อทางจิตกับโตอยู่เป็นประจำ ทำให้โตสามารถหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ล่วงหน้าก่อนคนอื่นๆ บุคคลภายนอก เริ่มเข้ามาหาโตที่โรงเรียนเพื่อขอคำแนะนำ ทั้งเรื่องทางโลก และทางธรรม ไปไหนมาไหนเริ่มเป็นที่รู้จัก เงินทองมีใช้ไม่ขาดมือ

      ในจิตตอนนั้นคิดอยู่ตลอดว่า กูเก่ง.. กูแน่.. กูดัง.. กูเป็นใหญ่กว่าใครๆ เห็นใครทำอะไรที่ทำให้ไม่พอใจก็จะจัดการทันที สภาวะตอนนั้นยอมรับว่า โตควบคุมตัวเองไม่ได้ จนผู้อำนวยการโรงเรียน ได้สั่งให้ครูเพ็ญดูแลความประพฤติอย่าง เข้มงวด

       “ครูเพ็ญเรียกตัวผมไปพบ แล้วก็กำชับว่า หากตัวยังหลงมัวเมากับลาภ ยศ สรรเสริญ จนหลงลืมความเป็นจริงว่า ขณะนี้เรากำลังถูกทดสอบอยู่...ธรรมที่เรียนมาตลอด 6 เดือนก็ไร้ความหมาย....

       ข้อธรรมต่างๆ ที่ได้เรียนมาจากท่านปู้กุ๊ยฮุก  ทำไมถึงไม่เอามาใช้ให้เป็นประ
โยชน์ ถ้าโตยังไม่รีบฉุกคิด ว่าอะไรเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเจริญ หรือความเสื่อมล่ะก้อ ใครก็ไม่สามารถที่จะช่วยโตได้”

      คำพูดของครูเพ็ญทำให้โตถึงกับน้ำตาซึม เพราะสำนึกผิดในความเลวของตน ครูเพ็ญทราบวาระจิตของโต ท่านจึงสอนข้อธรรมเพื่อนำมาชำระจิตอันเต็มไป ด้วยความขุ่นมัวของกิเลส โดยให้โตเน้นการปฏิบัติของตนโดยใช้แนวมหาสติปัฎฐาน 4

       “มหาสติปัฏฐาน 4 คือ การกำหนดจิต เอาแผ่นดินมารองรับตัวเอง คือ การรวมสติ  ให้เป็นหนึ่ง ปรับธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้สมดุล กำหนดรู้  ขอบน้ำ แผ่นฟ้า  แผ่นดิน ลมในกาย  ลมนอกกาย ลมเต็มโลก รู้สภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้นรอบกาย ให้ทำไปเรื่อยๆ เจริญสติไปเรื่อยๆ  ทำให้ว่าง จะไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงแต่ง ให้พิจารณามหาสติปัฏฐาน 4 ดูไปเรื่อยๆ....ผลที่ได้ทำให้ เกิดสติรู้เท่าทัน ทิฐิมานะตัดไปเลย  มันว่าง  ดูแล้ว  มันเป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ทุกอย่างเป็นอนัตตา  ต้องปล่อยวางทุกอย่าง ให้วางทุกอย่างไป...

      จำได้ติดตามีอยู่ครั้งนึงในระหว่างที่ผมกำลังนั่งสมาธิอยู่ ก็เกิดภาพหน้าตาคล้ายตัวเอง  มาชี้หน้าด่าตัวเอง โดยให้คำหยาบสารพัด ว่ามาทนนั่งปฏิบัติธรรมทำไม ในเมื่อตัวเรามีฤทธิ์ มากมายกว่าคนทั่วไป

      เมื่อถอนสมาธิออก ผมก็เล่าให้ครูเพ็ญฟัง ครูเพ็ญบอกว่า นั่นคือมารในตัวเรา  เหมือนส่องกระจก  ส่องกระจกจะเห็นมาร  พญามารอยู่ในใจเรา คือ ความคิดที่อยู่ในจิตเรา  มีคิดชั่วคิดเลวอยู่ที่เรา  คือ จิตในส่วนที่ไม่ดี  ทำอย่างไงให้มารหายไป  ก็ต้องคิดดี...ทำดี...พูดดี...ปฏิบัติดี  ทำอะไรก็ได้ที่การกระทำแล้ว ไม่เกิดเป็นกรรม ..เป็นโทษ..ที่ไปเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น”

      เมื่อโตหมั่นทบทวนดูจิตตัวเองอยู่เสมอ...ก็เริ่มเข้าใจถึงสภาวะความเป็นจริงว่า การยึดมั่นถือมั่น...นั้นเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์ และโทษกับตัวเราเองอย่างแสนสาหัส วิธีเดียวที่จะช่วยได้ ก็คือ เราต้องวาง

      การวางคือ การพิจารณาดูที่สาเหตุเกิดว่า
      สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร
      หาต้นเหตุของปัญหา
      รวบรวมสติใช้ปัญญาเข้าแก้ไข
      แล้วปล่อยวาง

      เช่น  เรารักผู้หญิงคนหนึ่งมาก  แต่ต้องมีเหตุทำให้ต้องพลัดพลากจากไป... แม้ผลของการจากจะทำให้เราต้องเสียใจขนาดไหน เราก็ต้องสู้แล้วเอาชนะความทุกข์ ที่มารุมเร้าในใจของเราให้ได้
      พยายามทำจิตให้สบาย และระลึกอยู่เสมอว่า... ต้นเหตุที่ทำให้เราทุกข์ คือ การ    พลัดพรากจากในสิ่งที่เรารัก ซึ่งในความเป็นจริง เราทุกคนเกิดมาก็ต้องเจอกับการพลัดพราก ด้วยกันทุกคน

      ไม่จากเป็น...ก็จากตาย

      ในเมื่อรู้เช่นนั้นแล้วก็ให้ทำใจ...แล้วจงคิดว่าเขาไม่ใช่คู่บารมีของเรา...เขาไม่ใช่ของเรา...ตัวเราก็ไม่ใช่ตัวเรา....

      เกิดมาไม่มีอะไรเลยสุดท้ายก็ต้องดับสูญ

      ดังนั้น การละวางจากสิ่งที่ยึดติด อีกวิธีก็คือ การฝึกปฏิบัติโดยใช้อสุภกรรมฐาน จะใช้วิธีกำหนดจิตให้นิ่ง แล้วแหวกเนื้อที่ห่อหุ้มร่างกายออกให้เหลือแต่กระดูก ฝึกฌาณสมาบัติ  คือการแยกวิญญาณกับกระดูก ใช้อสุภกรรมฐาน สุดท้ายวิญญาณล่องลอย แต่กระดูกยังอยู่เป็นท่อน  กระดูกหายไป

       พูดง่ายๆ ก็คือทุกชีวิตท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเถ้าผงธุลี ไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ยึดเลย สักอย่าง

      “ถามว่าทุกวันนี้ผมหลุดพ้นหรือยัง ตอบได้เลยว่า ยังไม่หลุด  ยังอยากได้...อยากมี...  อยากเป็น...แต่มันจะน้อยมาก ในโลกนี้ไม่อยากจะได้อะไรอีกแล้ว ใครให้...ก็รับ ใครอยากขอ...เราก็ให้

      เพื่อความปลอดภัย เวลาที่เราสร้างบุญกุศลครั้งใด จะต้องมีพยานในการรับรู้เพื่อเป็น เครื่องยืนยันในคุณงามความดี เป็นสิ่งสำคัญมากนะครับ และบุคคลที่จะเป็นพยานที่ดีที่สุด ก็คือ ท่านพญายมราช แล้วอธิษฐานว่า บุญอันใดที่ข้าได้พึงกระทำแล้ว  ขอให้ท่านพญายมราช เจ้ากรรมนายเวร  ทุกผู้ทุกนามจงได้รับส่วนบุญนี้  และโปรดเป็นสักขีพยานว่า ข้าได้ทำบุญบารมี  ที่ถูกต้องตรงแล้ว  ถ้าถูกต้องตรงแล้วขอให้เหล่านี้เป็นบารมีที่ช่วยพยุง ข้าพเจ้าไปสู่การหลุดพ้นด้วยเถิด”

       ทุกวันนี้ท่านปู้กุ๊ยฮุก ท่านก็ยังทรงเมตตาสงเคราะห์ให้คำปรึกษาแก่โต และโตสามารถไปหาท่านได้เลยทุกเวลา สำหรับหนทางพ้นทุกข์ ท่านแนะนำให้ เราทำจิตให้ วาง  เฉย  นิ่ง  สงบ
      วาง   คือ  ทิ้ง
      เฉย   คือ  ดูแล้วเฉย,  ไม่ต้องเอาอารมณ์ไปใส่กับมัน
      นิ่ง   คือ  จิตไม่แกว่งอยู่อย่างงั้น
      สงบ   คือ  อะไรมากระทบทุกอย่างวางเฉยนิ่งสงบ
      “ทุกอย่างล้วนแล้ว สร้างมาด้วยจิต  จิตสร้างมโนภาพ  อย่างคนนั่งสมาธิไปจุฬามณี  ไปกราบพระพุทธเจ้าองค์จริงๆ จิตปรุงหรือเห็นจริงๆ

      จะแตกต่างตรงที่ว่า ถ้าจิตปรุงเองมันจะติด  ถ้าจิตไม่ปรุงมันจะไม่ติด  นี่หรือพระพุทธเจ้า  นี่หรือพระจุฬามณี  ไม่เห็นมีอะไรเลย  จิตไม่คิด มีตัวคิดไหม มีนะ  แต่มันจะตัดของมันเองโดยอัตโนมัติ

      จิตที่ปรุงแต่ง เกิดจากการที่เราไปจำเอาคำพูดของพระที่สอนกรรมฐานว่า  พระจุฬามณีต้องเป็นอย่างนี้  กราบพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้  เขียนมาก่อน  เลยปรุงไปตามคำพูด หรือตามหนังสือ อย่าไปสนใจที่ภาพนิมิต แต่ให้สนใจในหลักธรรม

      ดังในสมัยพุทธกาล ที่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีวันดับสูญ อยู่คู่ทุกกาลสมัย เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล(อกาลิโก)  สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้..ผมไม่ได้บังคับให้ใครต้องมาเชื่อ..ทุกคนล้วนแล้วแต่มีปัญญา ด้วยกันทั้งสิ้น..ถ้าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็จงรับ..แต่ถ้าคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระ ก็อย่ามาสนใจคิดให้เปลืองสมองเลยนะครับ”

      คำพูดของโตทำให้ผมนึกถึงคำพระที่พูดถึงมายาจิต

      เด็กคนต่อไปที่ผมจะได้รู้จัก...เป็นเด็กที่เคยไปเที่ยวสรรค์ และเห็นพระจุฬามณีเจดีย์ กำลังจะมาปรากฏตัวในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

No comments:

Post a Comment