Sunday, February 26, 2012

23. ปรมาจารย์ ผู้ตรวจทานวาระจิต


      “อุ๊ย!!หนูพลาดอะไรเด็ดๆ หรือเปล่าคะครู”

      เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา

      เป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็กผิวเข้ม เดินย่างเท้าเข้ามาในห้อง 138 ทุกคนหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน

      “เล็ก มานั่งใกล้ๆ แม่” ครูเพ็ญเรียกเด็กผู้หญิงคนนั้นด้วยความเอ็นดูเป็นพิเศษ ครูเพ็ญหันมามองหน้าผม
      “คุณชร คะ น้องคนนี้ชื่อ เล็ก เป็นอาจารย์ที่คอยสอนการปฏิบัติธรรมทางจิตให้กับครู”

       คำพูดของครูเพ็ญยังความแปลกใจให้กับเด็กนักเรียนทุกคนในห้อง 138 ต่างคนต่างบ่นพึมพำใส่กัน ครูเพ็ญเห็นอาการของเด็กนักเรียนจึงรีบพูดต่อ

      “พวกเธอทุกคนจำคำพูดของครูเอาไว้ให้ดี คำว่าครู นั้นไม่ใช่จะใช้สำหรับคนที่มีอาชีพเป็นครูเท่านั้น เด็กๆ อย่างพวกเธอก็สามารถที่จะเป็นครูของคนทั่วไปได้ ขอเพียงแต่ กาย วาจา ใจของพวกเธอ ทำให้ผู้อื่นเกิดได้ปัญญาไม่ว่าพวกเธอจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม

      เอาง่ายๆ เด็กแรกเกิดที่เพิ่งจะคลอดออกมา แล้วตะเบงส่งเสียงร้องไห้สนั่นเหมือนคนที่เจ็บปวดทรมาน มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเกร็ง เด็กทารกคนนี้ก็เป็นครู ที่มาสอนให้พวกเราได้รู้ว่า...การเกิดนั้นเป็นเป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์อย่างสุดแสนจะทรมาน... แล้วทุกข์จะเกิดขึ้นนั้นก็เนื่องมาจากกรรมที่ทุกดวงจิตได้กระทำมาไม่ว่าจะดีหรือชั่ว”

       เด็กทุกคนพนมมือน้อมรับในคำสอนของครูเพ็ญ ผมถือโอกาสถามเล็กทันที
      “ถ้าไม่เป็นการรบกวน พี่อยากจะขอให้เล็กช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติของเล็กจะได้ไหมครับ”
      เล็กหันไปมองหน้าครูเพ็ญ ครูเพ็ญพยักหน้ารับ
      “ต้องขอบอกก่อนนะคะ ว่าวิธีที่หนูปฏิบัติไม่ได้มีอยู่ในตำรา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวจริงๆ” เล็กออกตัวก่อนที่เล่าให้เราฟัง

      “ที่บ้านเล็ก ทุกคนจะชอบปฏิบัติธรรม จึงได้ฌานสมาบัติกันทุกคน ตัวของเล็กเองเริ่มสนใจการปฏิบัติธรรมตั้งแต่เล็กๆ จะมีตา (เทวดา) ชอบพาไปเที่ยวยังที่ต่างๆ รูปร่างเหมือนคนธรรมดาแต่ว่าไม่แก่ ผมดำ ผิวเหลือง หน้าตาคิ้วเข้ม ผอมหุ่นดี เวลาที่ตาพูดจะพูดเป็นภาษาแขกไม่พูดภาษาไทย ภาษาแขกแบบข้างบน ภาษาเทพ ต่เล็กฟังแล้วเข้าใจทุกอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่า เข้าใจได้ยังไง”

      ทุกครั้งที่ไปเที่ยวกับตา จะเป็นการเที่ยวแบบถอดจิต ตัวของเล็กจะถอดจิตออกจากร่างกายที่เป็นกายเนื้อ และที่มั่นใจว่าถอดจิตได้ ก็เพราะเวลาที่จิตออกมาจากร่างทุกครั้ง เล็กจะหันไปมองที่กายเนื้อของตัวเองเสมอ
      กายละเอียดที่ออกมาจะแต่งกายเป็นเสื้อคลุมยาวๆ สีขาว
      ส่วนใหญ่เทวดา ที่เล็กเรียกว่า ตา จะพาไปเที่ยวป่าหิมพานต์ บางก็ขึ้นไปเที่ยวบนสวรรค์
      “ตัวเล็กเองจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน เพราะขณะที่คนอื่นกินกล้วยบด เล็กกินข้าวเป็นชามๆ เด็กคนอื่นๆ ยังหัดคลานกันอยู่เลย แต่เล็กกลับเดินได้ ตาจะสอนให้ทำสมาธิ สลับกับการไปเที่ยว ว่าง่ายๆ ถ้าเล็กขยันปฏิบัติธรรม ตาก็จะให้รางวัลโดยพาไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆแปลกๆ ที่ไม่มีในโลกมนุษย์”

      มีครั้งนึงเล็กเล่าว่า ได้ไปเที่ยวในป่าหิมพานต์ เดินเล่นอยู่เพลินก็บังเอิญไปเจอเสือตัวใหญ่ ใหญ่กว่าเสือที่อยู่ในโลกประมาณ 10 เท่า แต่ไม่มีความดุเลย ใจดีเอามาก และให้เล็กขึ้นไปขี่เล่นได้ ทุกครั้งที่กลับมาในโลกมนุษย์ ตาจะย้ำเสมอว่า ห้ามบอกใครโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นตาจะไม่พาไปเที่ยวอีกเลย

       เวลาที่ตาสอนให้ปฏิบัติ จะให้กำหนดลมหายใจเข้า – ออก หายใจเข้าพุท  หายใจออกโธ  ฝึกมาหลายปี จนในที่สุดก็เดินลมโดยไม่ต้องนึกถึงอะไรทั้งสิ้น แค่กำหนดจิตให้นิ่งๆ เบา สบาย ไม่ต้องคิด หรือเครียดในเรื่องใดๆ มารู้ภายหลังว่าสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า ฌาน

      พอเริ่มเข้า ม.1 เล็กก็เริ่มหัดเรียนพวกอวิชชาทั้งหลายจากพระฤาษี  เล็กไปหาท่านโดยกำหนดจิตให้ว่าง เล็กอยากเรียนวิชาด้านไหน ก็จะกำหนดจิตถึงเจ้าของวิชานั้นๆ ท่านก็จะเมตตามาสอนให้จนครบสมบูรณ์ พระฤาษีที่สอนท่านจะใส่ชุดขาว หนวดยาว  ถือไม้ตะพด  พอเจอก็เดินเข้าไปหา

      “หนูอยากเรียนอันนี้สามารถสอนหนูได้ไหม ที่อยากเรียนก็ใช่อยากลองของ  แต่เรียนเพราะอยากรู้ ไม่ได้มาทดสอบวิชาอะไรทั้งสิ้น พอใกล้ๆ จะเรียนจบ ท่านจะถามว่าอยากเรียนอะไรอีก

      แต่ก่อนที่เราจะไปเรียนกับฤาษี พื้นฐานสมาธิต้องมี  ใช้เวลา 3 ปีในการเรียนกับฤาษีทั้งหมดทั้งบนโลกมนุษย์  นรก  บนสวรรค์  ทั้งอีกมิติหนึ่ง ที่เล็กไปเรียนมามีแก้คุณไสยอะไรบ้าง เวลาทำคุณไสยเป็นอย่างไร ทำด้วยวิธีการไหน ใช้คาถาแบบไหน ยันต์ตัวนี้เป็นอย่างไร เรียนแก้อะไรได้บ้าง เพราะแต่ละยันต์เขียนไม่เหมือนกัน เล็กเรียนยันต์ข้างล่าง แล้วก็ไปเรียนยันต์ข้างบนอีกนะ ตอนที่เป็นลูกศิษย์ข้างบน ความรู้เขาให้ไม่จำกัด เล็กมองว่าถ้าจะเรียนตรงนี้แล้วเล็กต้องเรียนให้ดีที่สุด  คือ ไปหาครูบาอาจารย์ของครูบาอาจารย์ของครูบาอาจารย์ไปเรื่อยๆ แต่ละวิชาใช้เวลานาน พูดให้ตรงก็สืบหาต้นตอของผู้ก่อตั้งวิชานั้นๆ หนึ่งวิชาของหนึ่งตนใช้เวลาเรียน 3 วันถึงจะจบหลักสูตร รวมทุกวิชาที่เรียนจะใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปีกว่าจะเรียนวิชาของฤาษีทั้งหมด
 เวลาที่เทพเจ็บป่วยก็จะมีฤาษีคอยรักษาให้ ในเรื่องของการจัดระบบการปกครองทั้งที่สวรรค์ และนรกจะมีการจัดสรรตำแหน่งบุคคลในการรับผิดชอบ  พื้นที่ในแต่ละเขตปกครอง คล้ายคลึงกับในโลกมนุษย์

       เมื่อฝึกปฏิบัติจนคล่อง จิตของเล็กก็จะบอกให้รู้ว่า ตัวเราต้องมีหน้าที่ในการสอนการปฏิบัติให้กับผู้อื่น โดยที่เล็กจะอาศัยวิธีการแทรกจิตของเล็กกับของอีกคนหนึ่ง โดยที่บุคคลคนนั้น จะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เบื้องบนจะเป็นผู้กำหนดว่า จะให้เล็กสอนปฏิบัติให้กับผู้ใดบ้าง พูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ สอนสมาธิโดยสื่อสารทางโทรจิต การที่เล็กจะสอนการปฏิบัติให้เจริญรุดหน้าไปได้นั้น ผู้ที่เรียนทางจิตจะต้องสามารถเห็นเล็กได้ทางจิต (นิมิตแจ่มใส)  และจิตของเขากับจิตของเล็กจะต้องสามารถรับกันได้ คือ คนที่เรียนทางจิตต้องสามารถเห็นตัวผู้สอนได้ ในขณะที่ผู้เรียนทำสมาธิอยู่ จิตของเล็กจะรับรู้ได้ทันทีว่า ถึงเวลาที่จะต้องไปสอนแล้ว

      ตัวของเล็กองจะมี 2 กาย กายหยาบที่เป็นมนุษย์ เป็นผู้หญิง ส่วนกายละเอียด(กายทิพย์) ที่อยู่บนสวรรค์จะเป็นผู้ชาย กายละเอียดมีหน้าที่ในการสอนธรรมมะ โดยจะเป็นการสอนทางจิตให้กับผู้ปฎิบัติธรรมที่มีวาระเนื่องกัน ในกรณีที่มีการสอนธรรมมากกว่า 1 คน ในเวลาเดียวกัน เล็กต้องนำจิตที่อยู่ในกายหยาบไปรวมตัวกับจิตในกายละเอียด เพื่อจะได้ส่งกระแสพลังได้เต็มที่ 100 % และขณะที่เล็กถอดจิตจากกายหยาบขึ้นไปช่วยกายละเอียด ขณะนั้นทางเบี้องบนจะส่งเทวดามาแฝงในกายสังขารของเล็ก เพื่อปฎิบัติภารกิจของความเป็นมนุษย์ได้ตามปกติ โดยที่บุคคลอื่นจะไม่มีวันทราบ เพราะกิริยา ท่าทาง นิสัยใจคอ จะเหมือนเล้กในยามปกติทุกประการ

            “เท่าที่รู้วิชาสมาธิของพวกหนู เป็นแบบสมถกรรมฐาน ซึ่งหลายคนบอกว่า เป็นสายที่ต้องระมัดระวัง เพราะทำไปแล้วจะติดฤทธิ์ติดเดช บางคนอาจจะหลงทางไปเลย ที่สำคัญเขาบอกว่า สายนี้ไม่ใช่สายพระพุทธเจ้า ปฏิบัติยังไงก็ไม่ไปถึงนิพพาน” เป็นความสงสัยที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากมาตั้งแต่เริ่มคุยกับเด็กๆ เหล่านี้

      “ค่ะ วิชาสมาธิมีมากมายหลายสาย สายดำ สายขาว แต่สำหรับหนูเป้าหมายการปฎิบัติไม่ใช่อยากนิพพาน เพราะถ้าเราอยากก็มีกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้นจะดูแค่ว่า เราทำแล้วมีความสุขขึ้นไหม โกรธน้อยลงไหม หลงมัวเมาไปกับกิเลสน้อยลงหรือเปล่า ถ้าคำตอบที่ได้คือ ใช่ ก็ปฎิบัติไปเรื่อยๆ

      เรื่องหลงทางนี่ คนอื่นหนูไม่รู้ แต่สำหรับสิ่งพิเศษที่มี เราไม่ได้อยากมี ไม่อยากเห็น
ไม่เคยอ้อนวอนขอให้เห็น ให้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อเราไม่ยึดติดกับอะไร การปรุงแต่งก็ไม่เกิด สิ่งที่เห็นเมื่อเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกอะไร เท่านั้นก็จบค่ะ” เล็กตอบ

      “แล้วสำหรับคนที่หลงทางไปแล้วจะทำอย่างไรล่ะ” ผมถามต่อ

      “วิธีการแนะนำของหนู ก็จะดูว่าคนๆ นั้นแนะนำได้ไหม ถ้าได้เราก็ชี้ให้เขาเห็นว่าถึงกฎไตรลักษณ์ แต่บางคนที่อารมณ์กำลังแรง หนูจะไม่เอาเรือไปขวาง เพราะสอนไปตอนนั้น เขาก็คงไม่ฟัง คนแบบนี้ต้องได้รับบทเรียนก่อน พอสำนึกได้แล้วเขาก็จะหลุดพรวดๆ เลย”

      “แล้วช่วงนั้นได้ไปเที่ยวสวรรค์ หรือนรก หรือเปล่า” ผมถาม

      เล็กนิ่งไปนิดแล้วตอบ “ก็มีบ้าง”

      ผมซักต่อ “แล้วระหว่างสวรรค์ กับนรก เล็กชอบไปที่ไหนมากกว่ากันครับ” ผมสงสัย

      “ถ้าอยากเข้าถึงธรรมก็ต้องไปดูนรกค่ะ ล่าสุดที่ไปเที่ยวมา เป็นนรกขุมที่ 7 เรียกว่า ธุสะนรก”

      นรกขุมนี้ จะมีแม่น้ำที่ใสมาก สะอาดมาก ใสแจ๋วเป็นแม่น้ำใหญ่น่ารื่นรมย์เหลือเกิน พวกสัตว์นรกจากขุมอื่นๆ ที่ถูกไฟเผาผลาญ จะรู้สึกกระหายอยากดื่ม กิน อาบน้ำ   เป็นอย่างมาก เมื่อเดินมาใกล้ถึงนรกขุมนี้  พอเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็น  คิดว่าเย็นดี

      ต่างคนต่างก็วิ่งรี่เข้าหาแม่น้ำเพราะความหิวน้ำ  เพราะความร้อนบังคับ  เมื่อถึงแม่น้ำแล้วแทนที่จะดื่มกินเฉยๆ แต่สัตว์นรกทุกตัว ต่างกระโจนลงไปในน้ำ เพื่อหวังที่จะอาบน้ำแล้วกินให้หนำใจ แต่กลับกลายเป็นว่าน้ำนั้นเหือดแห้งไปในพริบตา กลายเป็นแกลบหิน  หรือแกลบเหล็ก และแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แดงโชนเป็นเหล็กแดง เผาผลาญสัตว์นรกอย่างไร้ปราณี

      สัตว์นรกต่างวิ่งหนีกันพลุกพล่าน  ถ้าขึ้นมาบนขอบแม่น้ำ  ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง  ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง เป็นภาพทุกขเวทนามาก..สัตว์ที่โดนลงทัณฑ์ในนรกขุมนี้  คือ คนที่ชอบคดโกง หลอกลวงชาวบ้าน

      “ไหนมาทั้งที่เล็กเลยอยากดูขุมอื่นให้มันสะใจไปเลย เล็กก็เลยขอแอบไปดูนรกขุมที่ 8 มีชื่อว่า สีตโลสิตะนรก”

       ขุมนี้จะมีน้ำเย็นเฉียบมากๆ ทั้งขุมที่ 7 และขุมที่ 8 จะเป็นนรกน้ำ  นรกขุมนี้สร้างเพื่อลงโทษสัตว์นรกที่ขาดเมตตา ชอบทรมานสัตว์เล่น จับสัตว์มาทุบ มาตี มาล่ามโซ่ขังไว้เพื่อความสะใจของตัวเอง แต่ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย  อำนาจกรรมจะส่งผลให้สัตว์นรกที่อยู่ในขุมนี้ ปรารถนาที่จะลงไปเล่นสำราญในสระน้ำใหญ่ แต่พอสัตว์นรกได้เห็นสระน้ำ ก็ต่างพากันพุ่งกระโจนลงไปในสระ

      จากความเย็นอันชุ่มช่ำของสายน้ำ...ก็กลับพลันกลายเป็นน้ำกรดอันส่งฤทธิ์กัดจนร่างกายเหวอะจนแสบไปทั่วร่าง พอสัตว์ตัวไหนทนไม่ไหวตะเกียกตะกายขึ้นมา นายนิริยบาล ท่านก็ใช้หอกบ้าง  ใช้ค้อนบ้างแทงสวนกระหน่ำซ้ำลงไปให้จมอยู่ในแม่น้ำกรด จนกว่ากรรมที่ทำไว้จะหมดไป”

      ผมถาม “แล้วเล็กเล่าเรื่องนี้ให้ครูเพ็ญฟัง หรือเปล่า”

      เล็กส่ายหน้า “ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากเล่าให้ใครฟัง” และกลับมาเล่าจุดเริ่มต้นที่ได้พบกับครูเพ็ญ และได้ค้นพบว่าที่แท้แล้วทั้งสองเคยพบกันแล้วทางจิต!

      “เล็กพบครูเพ็ญครั้งแรกเมื่อตอน ม.4  ตอนนั้นห้อง 138  ยังไม่มี นัดกันทุกวันหลังโรงอาหารประมาณ 3 – 4 คน มาจากห้องเดียวกันหมด  ครูเพ็ญเป็นครูประจำชั้น ในระหว่างชั่วโมงเรียนครูเพ็ญ  จะสอนวิชา แผ่นน้ำ ขอบฟ้า แล้วถ้าใครอยากเรียนต่อก็มา ตอนนั้นก็มีไม่กี่คน ส่วนตัวที่ชอบเพราะอยากเรียนวิชาใหม่

      ครูพาไปหาหลวงพ่อเจือก็ไป  แก้กรรมก็แก้ไป วิธีแก้กรรมใช้วิชาหลวงพ่อเจือท้องน้ำ ขอบฟ้า เรียกเจ้ากรรมนายเวรก็หมดกันไป เพื่อนหลายคนกรรมไม่เหมือนกัน บางคนแก้แบบเป็นลมคาห้องลุกไม่ขึ้น เป็นลมเพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอม

      ตอนแรกไม่คิดว่า คนที่เล็กสอนทางจิตจะเป็นครูเพ็ญ เคยเล่าให้ครูเพ็ญฟังว่า เคยสอนคนทางจิต แต่เล็กไม่รู้จักว่า คนนี้คือใคร  ตอนที่สอนเป็นดวงจิตไม่ใช่หน้าตา เป็นดวงกลมๆไม่สว่าง  คือ คนเราจะวัดความสว่าง คือ จิตว่าง  จิตมืดมน คือ จิตมีทุกข์  เห็นหน้าไหม  เห็นแค่ลางๆ แต่ใช่ ไม่ใช่ ไม่สนใจ”

No comments:

Post a Comment