Sunday, February 26, 2012

1. โองการสวรรค์

9 โมงเศษ...

จุดเริ่มต้นที่นำผมเข้าไปพบกับปาฏิหาริย์

      “ จะบีบแตรไปหา.....มึงเหรอ? ”

      เสียงตะโกนด่าของคนขับรถเมล์ ดังสนั่นไปทั่วรถ โชคไม่ดีที่ผมดันยืนอยู่ใกล้ กับคนขับพอดี จึงได้รับคำอวยพรเข้าไปเต็มๆ... เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสองอีก จึงตัดสินใจเดินเบียดเสียดผู้คน ลื่นเลื้อยจนมาถึงบริเวณกึ่งกลางของรถ

      จะด้วยเหตุจงใจ หรือบังเอิญก็ไม่ทราบ ผมได้เห็นเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ 15 ปี กำลังนั่งอ่านบันทึกอย่างจดจ่อ แม้ภายในรถคันนั้นจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ซึ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แต่ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของเธอให้ละสายตาไปจากสมุดบันทึกในมือได้ ที่สำคัญในบางช่วง ผมแอบเห็นเธอ..เผยรอยยิ้ม แต่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้าในขณะเดียวกัน

      ด้วยนิสัยสอดรู้สอดเห็น ผมตัดสินใจทั้งเบียด ทั้งแทรกตัวเอง เพื่อเข้าไปใกล้ เด็กหญิงคนนั้นให้มากที่สุด  อยากรู้ว่า เธอกำลังอ่านอะไร?

      ผมมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเบาะที่นั่งของเธอ ดวงตาเริ่มทำหน้าที่ ทั้งเล็ง ทั้งเพ่งไปที่ตัวอักษรในสมุดบันทึกของเด็กหญิงผู้นั้น...แม้การอ่านตัวหนังสือซึ่งเป็นลายมือเขียนจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะอยู่บนรถเมล์ แต่ก็พอจับใจความสำคัญได้ว่า...

      “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนกำชับให้เราบอกเพื่อนๆ ว่า

      ถ้าต้องการให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้า

      ต้องขยันถอดจิตขึ้นไปเรียนธรรมะที่เบื้องบน

      เพราะในโลกมนุษย์นั้น ล้วนเต็มไปด้วย ราคะของกิเลส ตัณหา

      ที่จะฉุดลากพวกเรา ให้มัวเมา

      และไม่สามารถทำหน้าที่ที่ถูกสวรรค์มอบหมายมาได้”

      ข้อความดังกล่าว แปลกประหลาด คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจ นี่มันเรื่องตลกของเด็กสมัยนี้หรือ?
      หรือว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่คน แล้วเธอเป็นอะไรล่ะ? มนุษย์ต่างดาว?
      ...???...

      แล้วความคิดฟุ้งซ่านก็ต้องถูกสลัดทิ้ง...เมื่อมือของเด็กหญิงผู้นั้น มาสัมผัสที่มือของผมเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า  “ขอทางหน่อยนะคะ หนูจะลงป้ายนี้”

      ผมฉากตัวหลบ เปิดทางให้เด็กหญิงผู้นั้นลงได้โดยสะดวก...รถเมล์ กำลังจะเคลื่อนตัวออกตัวไปอย่างช้าๆ ความคิดบางอย่างในหัวผมก็ประทุขึ้นมาทันที

      “ขอโทษครับๆ ขอลงป้ายนี้ด้วยคนครับ”

      ผมสาวเท้าลงจากรถ รีบวิ่งตรงปรี่ไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นทันที

      “น้องครับ!!ๆๆ น้องไม่ใช่ คนหรือครับ”..ผมร้องถาม

      เด็กคนนั้นหันรีหันขวาง แล้วหันมาตอบผม “พี่พูดอะไรของพี่ หนูไม่รู้เรื่อง”

      ผมสวน “ก็ในสมุดของน้องบอกว่า น้องถูกส่งลงมาจากสวรรค์”

      เด็กหญิงคนนั้นแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่อย่าพูดเสียงดังซิคะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”

      “พี่ไม่พูดเสียงดังก็ได้ แต่น้องต้องบอกพี่มาก่อนว่า ที่พี่พูดเมื่อตะกี้นี้..มันใช่หรือเปล่า? ”

       เด็กหญิงค่อยๆ พยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่เต็มใจ ผมเริ่มออกความคิด “เอายังงี้ดีไหม ถ้าน้องพอมีเวลา พี่อยากจะขอคุยกับน้องสักหน่อย”

      เด็กหญิงทำหน้าตาฉงน ปนระแวง “พี่จะคุยกับหนูเรื่องอะไร? หนูไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะ พี่คิดไม่ดีกับหนูหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

       ผมรีบชูมือห้าม “..อ้าว...ใจเย็นๆ ก่อนซิ...ถามเป็นชุดอย่างนี้แล้วใครจะตอบทันล่ะ ที่พี่อยากจะคุยกับน้องก็เพราะว่า พี่สนใจมากๆ ในเรื่องของน้อง แล้วเรื่องราวของน้องถ้ามีโอกาสได้เผยแพร่ไปให้กับคนอื่นๆ ได้รู้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยนะ”

เด็กคนนั้นจ้องมองหน้าผมตาไม่กะพริบ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น

“หนูไม่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง ขอตัวก่อนนะคะ หนูต้องรีบกลับไปทำงานต่อที่บ้าน” ว่า
แล้วเธอก็หันหลังรีบเดินผละจากไป ผมพยายามที่จะรั้งตัวเธอไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ

      คืนนั้นทั้งคืนในหัวของผมมีแต่เสียงก้องว่า

       “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนกำชับให้เราบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้าต้องการให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้าต้องขยันถอดจิตขึ้นไปเรียนธรรมมะที่เบื้องบน เพราะในโลกมนุษย์นั้นล้วนเต็มไปด้วย ราคะของกิเลส ตัณหา ที่จะฉุดลากพวกเรา ให้มัวเมา และไม่สามารถทำหน้าที่ๆถูกสวรรค์มอบหมายมาได้”

      “เป็นไงเป็นกัน..พรุ่งนี้เราต้องรู้เรื่องเด็กคนนั้นให้ได้” ผมพูดกับตัวเอง และผล่อยหลับไปด้วยความเพลีย


No comments:

Post a Comment